ทำไมเทคโนโลยีจีนถึงกำลังจะเป็นอนาคตของโลก | Principal Asset Management

ทำไมเทคโนโลยีจีนถึงกำลังจะเป็นอนาคตของโลก | Principal Asset Management

ตอนนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่า "เทคโนโลยี" ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในชีวิต เพราะตั้งแต่เราตื่น ไปทำงาน จนกลับมานอนอีกครั้ง เชื่อได้ว่าทุกคนจะต้องมีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบในชีวิตกันอย่างแน่นอน ในสมัยก่อน ถ้าหากให้เราลองนึกถึง เราอาจจะคุ้นชินกับเทคโนโลยีจากทางฝั่งโลกตะวันตกเป็นส่วนใหญ่

แต่รู้กันหรือไม่ว่า ณ เวลานี้ เทคโนโลยีจากจีนกำลังเติบโตก้าวขึ้นมาแซงหน้าเพื่อเป็นเบอร์หนึ่งของโลก หากเราลองย้อนกลับไปดูในปี 2020 ที่ผ่านมา มูลค่าราคาตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทเทคโนโลยีจากจีน มีสัดส่วนสูงถึง 33% เมื่อเทียบกับบริษัทเทคโนโลยีทั้งโลก (source : Hang Seng Index Company, HKEX)

ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้จีนกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก คือ การส่งเสริมและเดินหน้าไปพร้อมกันทั้งระบบ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยจีนตั้งเป้าบรรลุ "การเป็นเศรษฐกิจที่ทันสมัย" พร้อมเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกภายในปี 2035 โดยจะมีการส่งเสริมการสร้างเทคโนโลยีในประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขัน ฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงยังมีการเน้นการทำธุรกิจแบบ Eco-Friendly มากขึ้น ลดการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ซึ่งถ้าเราลองเข้าไปดู "แผนพัฒนาเศรษฐกิจจีน ฉบับที่ 14 (14th Year Plan)" ของประเทศจีน จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเน้นเรื่องของการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการสนับสนุนการศึกษา การเฟ้นหาบุคลากรและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้านเทคโนโลยี

และด้วยประชากรของจีนที่มีมากกว่า 1,400 ล้านคน เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เพียงแค่สร้างเทคโนโลยีออกมาให้กับคนจีนใช้ ก็ถือว่าเป็นตัวเลขผู้ใช้งาน (Users) ที่มหาศาล ทั่วโลกอาจจะใช้ Facebook และ Youtube แต่ที่จีนมีการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่าง Weibo Youku Wechat ที่เข้ามาให้บริการแทน

แอปพลิเคชันที่เราคุ้นเคยกันอย่าง Shopee Lazada TikTok หรือแม้แต่ค่ายเกมที่มีชื่อเสียงอย่าง Garena ที่เป็นบริษัทภายใต้เครือ Tencent ที่ให้บริการเกมออนไลน์อย่าง FIFA Online 4, League of Legends, Blade&Soul หรือจะเป็นเกมมือถือยอดนิยมในไทยอย่าง ROV ก็ล้วนมาจากประเทศจีนทั้งสิ้น

แต่ถ้าพูดถึงบริษัทเทคโนโลยีของจีนที่เข้ามาเขย่าวงการ ต้องยกให้ Xiaomi ที่แทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกได้ในเวลาไม่นาน จะเห็นได้ว่ากลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีจีนครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม และมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

ถ้าหากเราอยากดูว่าเทคโนโลยีของจีนในภาพรวมเป็นอย่างไรบ้าง สามารถเข้าดูได้จาก "Hang Seng TECH Index" ที่จะนำบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดฮ่องกง ซึ่งเป็นบริษัทที่แข็งแรงและมั่นคง มีการคาดการณ์การเติบโตของมูลค่าตลาด Hang Seng TECH Index จาก 150 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 870 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ในอีก 5 ปี ข้างหน้า ตัวอย่างบริษัทที่ถูกคำนวณใน Hang Seng TECH Index ได้แก่ Xiaomi, และ Tencent (ที่มา Goldman Sachs Global Investment Research June 2020)

หรือถ้าหากสนใจบริษัทเกิดใหม่ (Start-up) ที่มีอัตราการเติบโตที่สูง สามารถใช้ "SSE Star 50 Index" ที่จะคำนวณจาก บริษัทเทคโนโลยี Start-up 50 อันดับแรกที่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูง คาดการณ์กันว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาด Hang Seng TECH Index จาก 40 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะมีการเติบโตขึ้นถึง 800 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากกว่า 20 เท่าตัวเลยทีเดียว (ที่มา Goldman Sachs Global Investment Research June 2020)

สำหรับนักลงทุนท่านใดที่สนใจลงทุนเทคโนโลยีของจีนที่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงพร้อมขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกสามารถลงทุนผ่าน "กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไชน่า เทคโนโลยี (Principal China Technology Fund หรือ PRINCIPAL CHTECH)"

โดย PRINCIPAL CHTECH เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ลงทุนผ่าน iShares Hang Seng Tech ETF และ KraneShares SSE STAR Market 50 Index ETF ซึ่งทั้ง 2 กองทุน มีนโยบายลงทุนแบบ Passive ที่เน้นลงทุนให้เติบโตตามดัชนี Hang Seng TECH Index และ SSE Star 50 Index ครอบคลุมธุรกิจนวัตกรรมเทคโนโลยีจีนที่มีศักยภาพสูงที่เติบโตทั้งกลุ่ม Soft Tech อย่าง Cloud, Digital, E-Commerce, Fin-Tech, Internet, Mobile รวมไปถึง Hard Tech อย่างอุปกรณ์ขั้นสูง พลังงานยุคใหม่ ทรัพยากร ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติจีน หรือ China's 14th five year plan ที่เน้นการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เทคโนโลยี รวมถึงเป้าหมายระยะยาวในปี 2035 ที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางและคุณภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการเป็นผู้นำเทคโนโลยีในเวทีโลก

• กองทุนไทย และ/หรือกองทุนต่างประเทศที่กองทุนลงทุน อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อาจเกิดขึ้นได้จากการลงทุนในต่างประเทศตามความเหมาะสมและสภาวการณ์ในแต่ละขณะ ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งกองทุนหลักอาจได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

• กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในประเทศจีน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย

• บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงประเภทและลักษณะพิเศษของกองทุนรวมในอนาคตเป็น Feeder Fund หรือกองทุนรวมที่มีการลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์และทรัพย์สินทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศได้ หรือกลับมาเป็นกองทุน Fund of Funds ได้โดยไม่ทำให้ระดับความเสี่ยงของการลงทุน (risk spectrum) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้เป็นตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน โดยขึ้นกับสถานการณ์ตลาด และต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุน อนึ่ง บริษัทจัดการจะดำเนินการแจ้งผู้ถือหน่วยลงทุนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยผ่านเว็บไซต์ของบริษัทจัดการที่ หรือช่องทางอื่นใดที่บริษัทจัดการกำหนดก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงการลงทุนดังกล่าว

Comments

Post Comments