สรุปข่าวลือล่าสุดของ iPhone 14 และ iPhone 14 Pro ก่อนเปิดตัว

สรุปข่าวลือล่าสุดของ iPhone 14 และ iPhone 14 Pro ก่อนเปิดตัว

Apple เปิดตัว iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max

มาพร้อมจอภาพแบบติดตลอด, กล้องความละเอียด 48MP ครั้งแรกบน iPhone, คุณสมบัติการตรวจจับการชนกัน, คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม และวิธีใหม่สุดล้ำสำหรับรับการแจ้งเตือนและกิจกรรมต่างๆ ด้วย Dynamic Island

คูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย วันนี้ Apple เปิดตัว iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ตระกูล Pro ที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมาพร้อม Dynamic Island ซึ่งเป็นดีไซน์ใหม่ที่จะทำให้การใช้งาน iPhone เป็นเรื่องง่าย และจอภาพแบบติดตลอด นอกจากนี้ iPhone 14 Pro ซึ่งขับเคลื่อนด้วยชิปสมาร์ทโฟนที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่าง A16 Bionic ยังมาพร้อมระบบกล้องระดับโปรที่เหนือชั้นไปอีกระดับ ด้วยกล้องหลักความละเอียด 48MP ครั้งแรกบน iPhone ที่มีเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel และ Photonic Engine ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการภาพที่ดียิ่งกว่าเดิม ช่วยให้ภาพถ่ายในสภาวะแสงน้อยสวยขึ้นจนต้องทึ่ง ความก้าวหน้าที่ล้ำสมัยเหล่านี้ทำให้ iPhone ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับงานทั่วไปในชีวิตประจำวัน โปรเจ็กต์สุดสร้างสรรค์ หรือแม้แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเพราะตอนนี้มีคุณสมบัติต่างๆ อาทิ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมและการตรวจจับการชนกัน ทั้งนี้ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีสีใหม่ที่สวยงามให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีม่วงเข้ม สีเงิน สีทอง และสีดำสเปซแบล็ค โดยสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 9 กันยายน และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน

"ลูกค้าของเราพึ่งพา iPhone ในทุกๆ วัน และเรากำลังมอบ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ที่ล้ำหน้ายิ่งกว่า iPhone รุ่นไหนๆ โดย iPhone 14 Pro มาพร้อมระบบกล้องที่ทำให้ผู้ใช้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือมือโปร สามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้ดีที่สุด อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีสุดล้ำใหม่ๆ อย่างจอภาพแบบติดตลอดและ Dynamic Island ที่เป็นวิธีใหม่ในการโต้ตอบกับแจ้งเตือนและกิจกรรมต่างๆ" Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว "คุณสมบัติด้านความปลอดภัยสุดล้ำยังมอบความปลอดภัยที่เหนือระดับแก่ผู้ใช้ และหยิบยื่นความช่วยเหลือในเวลาที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุด และด้วยชิป A16 Bionic ที่ทรงพลังและประหยัดพลังงานจนเหลือเชื่อ ตลอดจนแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน ก็ยิ่งทำให้นี่คือ iPhone ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา"

ดีไซน์โดดเด่นสะดุดตาและจอภาพที่ล้ำหน้าที่สุดบนสมาร์ทโฟน

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มาพร้อมดีไซน์แบบสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรมและกระจกผิวด้านที่สวยงามใน 4 สีสวยงาม โดยมีให้เลือกระหว่างรุ่น 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว1 ซึ่งทั้งสองรุ่นใช้จอภาพ Super Retina XDR ใหม่ พร้อม ProMotion ที่มีจอภาพแบบติดตลอดเป็นครั้งแรกบน iPhone ซึ่งเป็นจริงได้ด้วยอัตราการรีเฟรชที่ 1Hz ใหม่ และอีกหลายเทคโนโลยีในการประหยัดพลังงาน ทั้งหมดนี้ทำให้หน้าจอล็อคแบบใหม่มีประโยชน์ยิ่งขึ้น สามารถแสดงเวลา วิดเจ็ต และกิจกรรมสดๆ ให้เหลือบมองได้ทุกเมื่อ และจอภาพสุดล้ำนี้ยังมีระดับความสว่าง HDR สูงสุดเฉพาะจุดเทียบเท่ากับ Pro Display XDR และถือเป็นความสว่างสูงสุดเฉพาะจุดขณะอยู่กลางแจ้งที่มากที่สุดในสมาร์ทโฟน สูงสุด 2,000 นิต หรือสว่างกว่า iPhone 13 Pro ถึงสองเท่า

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ยังคงมีคุณสมบัติด้านความทนทานระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมด้วยตัวเครื่องด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่แข็งแกร่งกว่ากระจกไหนๆ บนสมาร์ทโฟน อีกทั้งยังมีความสามารถในการทนน้ำและฝุ่นที่ช่วยปกป้องเครื่องจากน้ำหกใส่และอุบัติเหตุต่างๆ ด้วย2

Dynamic Island มาพร้อมวิธีใหม่ในการโต้ตอบกับ iPhone ด้วยดีไซน์ที่เป็นการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ สามารถปรับการทำงานในแบบเรียลไทม์เพื่อแสดงการแจ้งเตือนและกิจกรรมต่างๆ ได้ โดยมีการออกแบบกล้อง TrueDepth ขึ้นใหม่ให้ใช้พื้นที่จอภาพน้อยลงเพื่อรองรับกับ Dynamic Island ยิ่งกว่านั้น Dynamic Island ยังคงสถานะการทำงานอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รบกวนคอนเทนต์บนหน้าจอ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงส่วนควบคุมต่างๆ ได้ง่ายขึ้นเพียงแค่แตะค้างไว้ ส่วนกิจกรรมเบื้องหลังที่ทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น แอปแผนที่ แอปเพลง หรือนาฬิกานับถอยหลัง จะปรากฏให้เห็นตลอดเวลาและโต้ตอบได้ เช่นเดียวกับแอปของบริษัทอื่นใน iOS 16 ที่แสดงข้อมูล อย่างผลการแข่งขันกีฬา หรือแอปประเภทแชร์การเดินทางที่มีกิจกรรมแบบสดๆ ทั้งหมดนี้จะได้รับประโยชน์จาก Dynamic Island

ระบบกล้องระดับโปรบน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max สร้างนิยามใหม่แห่งความเป็นไปได้บนสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือมือโปรก็ตาม สามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้อย่างดีที่สุด

iPhone 14 Pro ยกระดับการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ให้ก้าวไปอีกขั้นด้วย Photonic Engine ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยถึงปานกลางในภาพถ่ายจากกล้องทุกตัวโดยอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้กล้องหลักมีประสิทธิภาพดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า กล้องอัลตร้าไวด์ดีขึ้นสูงสุด 3 เท่า กล้องเทเลโฟโต้ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า และกล้อง TrueDepth ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า ซึ่งการที่ Photonic Engine ช่วยเพิ่มคุณภาพได้มากขนาดนี้ ก็เพราะมีการใช้ Deep Fusion ตั้งแต่ในช่วงแรกๆ ของกระบวนการประมวลผลภาพ จึงสามารถถ่ายทอดรายละเอียดได้อย่างน่าทึ่ง เก็บบันทึกความละเอียดลออบนพื้นผิว ให้สีสันที่ดียิ่งขึ้น และรักษาข้อมูลในรูปภาพไว้ได้มากขึ้น

ถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ตระกูล Pro มาพร้อมกล้องหลักความละเอียด 48MP ใหม่ ที่มีเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ซึ่งจะปรับการทำงานเข้ากับภาพที่ถ่าย และมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์รุ่นที่ 2 สำหรับภาพถ่ายส่วนใหญ่ เซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel จะรวมพิกเซลทุก 4 จุด ให้กลายเป็น 1 ควอดพิกเซลขนาดใหญ่ เทียบเท่ากับขนาด 2.44 µm จึงสามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้อย่างสวยงามน่าทึ่งโดยที่ยังคงขนาดรูปภาพที่ 12MP ซึ่งเหมาะกับการใช้งานจริง นอกจากนี้เซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ยังทำให้เกิดตัวเลือกเทเลโฟโต้ 2 เท่า ซึ่งใช้พื้นที่ 12 เมกะพิกเซลตรงกลางเซ็นเซอร์ในการถ่ายภาพและวิดีโอระดับ 4K เต็มความละเอียดโดยไม่ต้องซูมดิจิทัล ทั้งหมดนี้ช่วยให้ได้คุณภาพระดับออปติคัลในช่วงทางยาวโฟกัสที่คุ้นเคย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสมบัติอย่างโหมดภาพถ่ายบุคคล อีกทั้งเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ยังมีประโยชน์สำหรับเวิร์กโฟลว์ระดับโปรด้วย เพราะจะปรับการทำงานเพื่อเน้นรายละเอียดในแบบ ProRAW และยังมีโมเดลใหม่ด้านการเรียนรู้ของระบบที่ออกแบบมาสำหรับเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel โดยเฉพาะ ทำให้ iPhone สามารถถ่าย ProRAW ที่ความละเอียด 48MP ด้วยรายละเอียดในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และเปิดมิติใหม่ให้กับเวิร์กโฟลว์ในการสร้างสรรค์สำหรับผู้ใช้ระดับโปร

• กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP ใหม่ ที่มีพิกเซลขนาด 1.4 µm ซึ่งให้ภาพที่คมชัดกว่าเดิมพร้อมด้วยรายละเอียดที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น ทำให้การถ่ายภาพมาโครที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีขึ้นไปอีก

• กล้องหน้า TrueDepth ใหม่ที่มีรูรับแสงขนาด ƒ/1.9 ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นครั้งแรกที่มีออโต้โฟกัส จึงสามารถโฟกัสได้เร็วยิ่งขึ้นในสภาวะแสงน้อยและถ่ายรูปหมู่ได้ในระยะที่ไกลออกไปกว่าเดิม

• แฟลช True Tone ที่ปรับตามสภาวะแบบใหม่ ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่หมดโดยใช้แผง LED จำนวน 9 ดวง ที่จะเปลี่ยนรูปแบบตามทางยาวโฟกัสที่เลือกไว้

• ประโยชน์จากการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์อันทรงพลัง อย่างเช่น โหมดกลางคืน, HDR อัจฉริยะ 4, โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมด้วยคุณสมบัติการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล, ภาพถ่ายบุคคลในโหมดกลางคืน, คุณสมบัติสไตล์ภาพถ่ายที่ช่วยปรับลุคของทุกภาพในแบบที่ผู้ใช้ต้องการ และ Apple ProRAW

• โหมดแอ็คชั่นใหม่เพื่อวิดีโอที่ดูลื่นไหลเหลือเชื่อ ซึ่งจะปรับภาพให้สอดคล้องกับการส่ายไปมา การเคลื่อนไหว และการสั่นในระดับมากๆ แม้จะเป็นการถ่ายวิดีโอในจังหวะแอ็คชั่นก็ตาม

• โหมดภาพยนตร์ที่ตอนนี้มีให้ใช้งานในระดับ 4K ที่ 30 fps และระดับ 4K ที่ 24 fps

• เวิร์กโฟลว์ระดับโปรสำหรับวิดีโอ ซึ่งประกอบด้วย ProRes3 และ HDR ในแบบ Dolby Vision ตั้งแต่ต้นจนจบ

กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 ทั้งหมดมาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยสุดล้ำที่สามารถให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินในเวลาที่สำคัญที่สุด ด้วยอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบ Dual-core ใหม่ที่สามารถตรวจวัดแรง G ได้สูงสุดถึง 256 พร้อมด้วยไจโรสโคปที่มีช่วงไดนามิกสูง ทำให้ตอนนี้คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันที่อยู่ใน iPhone สามารถตรวจจับเหตุรถชนรุนแรงและโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้หมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone ได้ คุณสมบัติเหล่านี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยส่วนประกอบที่มีอยู่เดิม อย่างบารอมิเตอร์ซึ่งตอนนี้สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในห้องโดยสาร และ GPS ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความเร็ว และไมโครโฟน4 ซึ่งสามารถตรวจจับเสียงดังที่มักเกิดขึ้นจากรถชนรุนแรงได้ด้วย และยังมีอัลกอริทึมการเคลื่อนไหวสุดล้ำที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งพัฒนาขึ้นจากข้อมูลการขับขี่และการชนกันที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมง เพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อใช้งานร่วมกับ Apple Watch คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันก็สามารถเลือกใช้ประโยชน์จากจุดเด่นเฉพาะตัวของอุปกรณ์ทั้งสองได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อย่างเช่น เมื่อตรวจพบเหตุรถชนรุนแรง อินเทอร์เฟซการโทรติดต่อบริการฉุกเฉินจะปรากฏบน Apple Watch เพราะมักเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวผู้ใช้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็จะใช้ iPhone ที่อาจอยู่ในระยะใกล้เคียงในการโทรออกเพื่อการเชื่อมต่อสัญญาณที่ดีที่สุด

กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 ยังมาพร้อมคุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม ที่ผสานส่วนประกอบแบบเฉพาะเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับซอฟต์แวร์ เพื่อให้สายอากาศสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง และรองรับการรับส่งข้อความผ่านบริการฉุกเฉินเมื่ออยู่นอกพื้นที่ให้บริการเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi ทั้งนี้ดาวเทียมเป็นอุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและมีแบนด์วิดท์ต่ำ ดังนั้นจึงอาจใช้เวลาหลายนาทีในการส่งข้อความ แต่เนื่องจากทุกวินาทีมีความสำคัญ ดังนั้นคุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมจึงได้เตรียมคำถามสำคัญบางส่วนเอาไว้ใน iPhone ล่วงหน้าเพื่อประเมินสถานการณ์ของผู้ใช้ และแสดงวิธีหัน iPhone ไปในทิศทางที่สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียม จากนั้นก็จะส่งต่อแบบสอบถามเบื้องต้นและข้อความติดตามผลไปยังศูนย์บริการที่มีผู้เชี่ยวชาญซึ่งผ่านการฝึกอบรมจาก Apple ที่สามารถโทรติดต่อขอความช่วยเหลือแทนผู้ใช้ เทคโนโลยีอันสุดล้ำดังกล่าวยังอนุญาตให้ผู้ใช้แชร์ตำแหน่งที่ตั้งได้เองผ่านดาวเทียมด้วยแอปค้นหาของฉันเมื่อไม่สามารถเชื่อมต่อเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi โดยมอบความอุ่นใจให้ในยามที่ออกเดินป่าหรือตั้งแคมป์ในพื้นที่อับสัญญาณ ทั้งนี้คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมจะพร้อมให้บริการแก่ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในเดือนพฤศจิกายน และให้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปี

ชิป A16 Bionic ใน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ทิ้งห่างคู่แข่งหลายเจเนอเรชั่น และช่วยปลดล็อคประสบการณ์ที่ยากจะหาใครเทียบอย่าง Dynamic Island และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานตลอดวัน7 จนถึงความสามารถด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ที่น่าประทับใจ โดย CPU แบบ 6-core ใหม่มาพร้อมคอร์ประสิทธิภาพสูง 2 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงานสูง 4 คอร์ ซึ่งทำงานได้เร็วขึ้นสูงสุด 40% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทำให้สามารถรับมือกับงานที่ประมวลผลหนักๆ ได้สบาย และชิป A16 Bionic ยังมาพร้อม GPU แบบ 5-core ที่รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่มากขึ้นถึง 50% จึงเหมาะกับเกมและแอปที่เน้นกราฟิก และยังมี Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ ที่สามารถประมวลผลได้เกือบ 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที ชิปนี้ใช้สถาปัตยกรรมแบบฟิวชั่นที่ดีที่สุดของ Apple เพื่อผสานประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว จึงมีประสิทธิภาพสูงขึ้นขณะที่ใช้พลังงานเพียงเสี้ยวเดียวเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ชิป A16 Bionic ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบกล้องระดับโปร เรียกได้ว่าเป็นขุมพลังเบื้องหลังคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์อันน่าทึ่ง โดยทั้ง CPU, GPU, Neural Engine และโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพจะทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อเพื่อให้สามารถรองรับฮาร์ดแวร์กล้องตัวใหม่ และประมวลผลได้สูงสุดถึง 4 ล้านล้านรายการต่อภาพ

iPhone ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดและดาวน์โหลดได้เร็วสุดแรง สตรีมได้ลื่นไหลยิ่งขึ้น และสามารถเชื่อมต่อเรียลไทม์ด้วย 5G เพื่อให้ผู้ใช้ติดต่อ แชร์ และสนุกกับคอนเทนต์ได้อย่างต่อเนื่อง8 โดยตอนนี้การรองรับ 5G บน iPhone ได้ขยายครอบคลุมพันธมิตรผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 250 ราย ที่อยู่ในตลาดมากกว่า 70 แห่งทั่วโลก พร้อมรองรับการทำงานเพิ่มเติมบนเครือข่ายแบบสแตนอโลนหลายแห่ง นอกจากนี้ eSIM ยังทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อหรือถ่ายโอนแผนบริการที่มีอยู่เดิมในแบบดิจิทัลได้สะดวกรวดเร็ว ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าซิมการ์ดปกติทั่วไป และสามารถรองรับแผนบริการเซลลูลาร์ได้หลายรูปแบบบนอุปกรณ์เครื่องเดียว ดังนั้น iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จึงเลิกใช้ถาดใส่ซิมการ์ดสำหรับรุ่นที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าอุปกรณ์ได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

iOS 16 ออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถใหม่ๆ บน iPhone 14 Pro โดยมาพร้อมหน้าจอล็อคที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ และยังมีคุณสมบัติด้านการติดต่อสื่อสาร การแชร์ และคุณสมบัติอันชาญฉลาดแบบใหม่ ซึ่งร่วมกันเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้สัมผัสประสบการณ์กับ iPhone โดยหน้าจอล็อคจะมีความเฉพาะตัว สวยงาม และให้ประโยชน์ได้มากขึ้นกว่าที่เคย พร้อมด้วยเอฟเฟ็กต์แบบหลายระดับชั้นที่ทำให้ตัวแบบโดดเด่นอย่างสวยงามอยู่ด้านหน้าเวลาที่แสดงบนหน้าจอ และยังมีวิดเจ็ตที่ออกแบบใหม่ซึ่งให้ข้อมูลภาพรวมโดยคร่าว นอกจากนี้ยังมีแกลเลอรี่ภาพพื้นหลังที่มอบแรงบันดาลใจผ่านหน้าจอล็อค โดยมีตัวเลือกมากมายซึ่งรวมถึงคอลเลกชั่นของ Apple ภาพพื้นหลังสภาพอากาศซึ่งสามารถเห็นสภาวะอากาศแบบสดที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน และภาพพื้นหลังดาราศาสตร์เพื่อดูโลก ดวงจันทร์ และระบบสุริยจักรวาล ตลอดจนภาพพื้นหลังแบบอื่นๆ อีกมากมาย ตอนนี้ผู้ใช้ยังสามารถแก้ไขหรือเรียกคืนข้อความที่เพิ่งส่งออกไปได้ในแอปข้อความ และทำเครื่องหมายการสนทนาให้เป็นสถานะยังไม่ได้อ่าน เพื่อจะได้ย้อนกลับมาอ่านในภายหลัง9 ส่วนคลังรูปภาพ iCloud ที่แชร์ก็ทำให้การแชร์คอลเลกชั่นรูปภาพกับครอบครัวกลายเป็นเรื่องที่สุดง่ายดายกว่าที่เคย10 ด้านคุณสมบัติข้อความในภาพก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยความสามารถในการตรวจจับข้อความในวิดีโอ และสามารถแปลงสกุลเงิน แปลข้อความ ทั้งยังทำสิ่งอื่นได้อีกมากมายอย่างรวดเร็ว และคุณสมบัติค้นดูจากภาพก็มีความสามารถใหม่ที่อนุญาตให้ผู้ใช้แตะตัวแบบในภาพค้างไว้ แล้วยกออกจากพื้นหลังเพื่อนำไปวางในแอปอื่นๆ เช่น แอปข้อความ11

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด โดยใช้แร่โลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กทุกชิ้น รวมถึงที่ใช้ใน MagSafe และใช้ทังสเตนรีไซเคิล 100% ใน Taptic Engine นอกจากนี้โลหะบัดกรีของแผงวงจรพิมพ์หลายชิ้นในเครื่องทั้งสองรุ่นยังใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% และยังใช้ทองคำรีไซเคิล 100% ในการเคลือบแผงวงจรพิมพ์หลายชิ้นรวมถึงในสายไฟของทั้งกล้องทุกตัว ขณะเดียวกันบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เยื่อไม้ก็เลิกใช้พลาสติกหุ้มชั้นนอก และทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายของบริษัทมากยิ่งขึ้น นั่นคือการเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025

วันนี้การดำเนินงานของบริษัท Apple ทั่วโลกมีความเป็นกลางทางคาร์บอน และภายในปี 2030 เราวางแผนที่จะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ในทุกภาคส่วนของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงซัพพลายเชนการผลิตและวงจรชีวิตของสินค้าทั้งหมด นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ Apple ทุกเครื่องที่จำหน่ายจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การประกอบ การขนส่ง การใช้งานของลูกค้า การชาร์จ ตลอดจนการรีไซเคิลและการคัดแยกวัสดุ

• iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีให้เลือกทั้งสีม่วงเข้ม สีเงิน สีทอง และสีดำสเปซแบล็ค โดยมีความจุในการจัดเก็บข้อมูลให้เลือกทั้ง 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB

• ลูกค้าในออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ สเปน ไทย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และอีกกว่า 30 ประเทศและภูมิภาคอื่นๆ จะสามารถสั่งซื้อ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ล่วงหน้าได้ตั้งแต่เวลา 19:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ของวันศุกร์ที่ 9 กันยายน และจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน

• iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะพร้อมวางจำหน่ายในมาเลเซีย ตุรกี และอีกกว่า 20 23 กันยายน

• คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมจะพร้อมให้บริการในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในเดือนพฤศจิกายน โดยสามารถใช้บริการฟรีเป็นระยะเวลา 2 ปี เมื่อเปิดใช้งาน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max

• ลูกค้าสามารถซื้อ iPhone 14 Pro ในราคา 41,900 บาท และ iPhone 14 Pro Max ในราคา 44,900 บาท ที่ ในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store iPhone 14 และ iPhone 14 Pro Max ยังวางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของ Apple และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์อีกหลายรายด้วย12

• iOS 16 จะพร้อมให้ใช้งานในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรีในวันจันทร์ที่ 12 กันยายน

• ลูกค้าที่ซื้อ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะได้รับ Apple Arcade เป็นระยะเวลา 3 เดือน เมื่อมีการสมัครบริการใหม่

• เคสหนังแบบกระเป๋าสตางค์พร้อม MagSafe 3 และเคสหนังสำหรับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะมีให้เลือก 5 สีใหม่ ได้แก่ สีมิดไนท์ สีเขียวฟอเรสต์ สีม่วงน้ำหมึก สีน้ำตาลแดงอัมเบอร์ และสีส้ม ส่วนเคสใสและเคสซิลิโคนสำหรับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะมีให้เลือกในสีมิดไนท์ สีน้ำเงินสตอร์มบลู สีแดง สีชมพูชอล์คพิงค์ สีไลแลค สีม่วงเอลเดอร์เบอร์รี่ สีเขียวเอเชเวอเรีย และสีเหลืองแสงตะวัน

• จอภาพมีมุมมนที่รับกับดีไซน์แบบโค้งอันงดงาม และมุมทั้งหมดนี้อยู่ในสี่เหลี่ยมมุมฉากมาตรฐาน และเมื่อวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากมาตรฐานแล้ว หน้าจอจะมีขนาด 6.06 นิ้ว (iPhone 14 Pro) หรือ 6.68 นิ้ว (iPhone 14 Pro Max) ในแนวทแยง โดยพื้นที่สำหรับการดูจริงมีขนาดเล็กกว่า

• iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีความสามารถในการทนน้ำ น้ำที่กระเด็นใส่ และฝุ่น ซึ่งผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ของห้องปฏิบัติการที่ได้รับการควบคุมที่ระดับ IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) ความสามารถในการทนน้ำ น้ำที่กระเด็นใส่ และฝุ่นจะไม่คงอยู่ถาวร ซึ่งความสามารถดังกล่าวอาจลดลงจากการใช้งานตามปกติ ห้ามชาร์จ iPhone ในขณะที่เครื่องยังเปียกอยู่ โปรดดูคำแนะนำเกี่ยวกับการทำความสะอาดและการทำให้แห้งในคู่มือผู้ใช้ การรับประกันไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากของเหลว

• iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max รองรับการบันทึกวิดีโอ ProRes ในแอปกล้องระดับ 1080p ที่ 30 fps สำหรับรุ่นที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 128GB และสูงสุด 4K ที่ 30 fps สำหรับรุ่นที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 256GB, 512GB และ 1TB

• ไมโครโฟนจะเปิดทำงานเฉพาะเมื่อตรวจพบการขับรถ โดยสั่งให้ทำงานผ่าน Bluetooth, CarPlay หรือความเร็ว ข้อมูลทั้งหมดจะประมวลผลบนอุปกรณ์และถูกลบทิ้งหลังจากตรวจพบเหตุรถชน เว้นแต่ผู้ใช้สมัครใจที่จะแชร์ข้อมูลดังกล่าวเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติการตรวจจับการชนกัน โดยจะแชร์เฉพาะระดับเสียงกับ Apple และไม่ได้แชร์ไฟล์เสียงต้นฉบับ

• คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันออกแบบมาสำหรับการชนของยานพาหนะโดยสาร 4 ล้อ ที่มีข้อมูลของมวล แรง G และความเร็วสอดคล้องกับการชนที่รุนแรงจนเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยออกแบบมาสำหรับการชนรูปแบบต่างๆ ที่รุนแรงจนเป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งการกระแทกอย่างรุนแรงทางด้านหน้าและด้านหลัง การเฉี่ยวชนด้านข้าง การพุ่งชนรถอีกคันที่ด้านข้าง และการพลิกคว่ำ คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันพร้อมให้ใช้งานทั่วโลกบน iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro, iPhone 14 Pro Max, Apple Watch Series 8, Apple Watch SE และ Apple Watch Ultra

• คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมออกแบบมาสำหรับใช้ในพื้นที่โล่งแจ้งที่สามารถส่งสัญญาณสู่ท้องฟ้าเป็นเส้นตรงได้อย่างชัดเจน โดยประสิทธิภาพอาจได้รับผลจากสิ่งกีดขวางต่างๆ อาทิ ต้นไม้หรืออาคารโดยรอบ โดย iPhone ยังคงทำงานภายใต้ภาวะอุณหภูมิปกติต่อไป

• การใช้งานแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับเครือข่ายเซลลูลาร์ ตำแหน่งที่ตั้ง ความแรงของสัญญาณ การกำหนดค่าคุณสมบัติ การใช้งาน และปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง โดยผลลัพธ์จริงจะแตกต่างออกไป แบตเตอรี่มีจำนวนรอบการชาร์จจำกัดและอาจจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนใหม่ในที่สุด ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่และจำนวนรอบการชาร์จอาจแตกต่างกันตามการใช้งานและการตั้งค่า การทดสอบแบตเตอรี่ใช้เครื่อง iPhone สำหรับการทดสอบโดยเฉพาะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ และ

• จำเป็นต้องมีแผนบริการข้อมูล ทั้งนี้ 5G, Gigabit LTE, VoLTE และการโทรผ่าน Wi-Fi มีให้บริการในบางประเทศผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์บางแห่งเท่านั้น ความเร็วขึ้นอยู่กับปริมาณงานตามหลักทฤษฎีและแตกต่างกันตามสภาวะของไซต์และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ สำหรับรายละเอียดในการรองรับ 5G และ LTE ลูกค้าสามารถติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ หรือไปที่

• หลังจากส่งข้อความออกไปแล้ว ผู้ใช้สามารถแก้ไขข้อความได้ภายใน 15 นาที และสามารถยกเลิกการส่งข้อความได้ภายใน 2 นาที ผู้ใช้สามารถแก้ไขข้อความหนึ่งๆ ได้สูงสุด 5 ครั้ง และผู้รับจะมองเห็นรายการแก้ไขที่เกิดขึ้นกับข้อความดังกล่าว

• ข้อเสนอนี้มีให้บริการสำหรับลูกค้าที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์และต้องใช้กับบริการผ่อนชำระ 24 เดือนเมื่อเลือก Citizens One หรือ Apple Card Monthly Installments (ACMI) เป็นประเภทการชำระเงินที่ Apple โดยจะต้องมีการเปิดใช้ iPhone กับ AT&T, T‑Mobile/Sprint หรือ Verizon สำหรับการซื้อด้วย ACMI ที่ Apple Store ภาษีและค่าจัดส่งไม่รวมอยู่ใน ACMI และขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย APR แบบลอยตัวของผู้ถือบัตร ข้อกำหนดของ ACMI เพิ่มเติมอยู่ในข้อตกลงของลูกค้า ข้อกำหนดการชำระเงินเพิ่มเติมสำหรับ iPhone อยู่ที่

Apple ได้ปฏิวัติเทคโนโลยีส่วนบุคคลด้วยการเปิดตัว Macintosh สู่ท้องตลาดตั้งแต่ปี 1984 ในวันนี้ Apple คือผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมด้วย iPhone, iPad, Mac, Apple Watch และ Apple TV แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ทั้ง 5 แพลตฟอร์มของ Apple ได้แก่ iOS, iPadOS, macOS, watchOS และ tvOS มอบประสบการณ์การใช้งานอย่างต่อเนื่องบนอุปกรณ์ต่างๆ ของ Apple ทั้งหมด พร้อมเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้คนด้วยบริการที่ก้าวล้ำอย่าง App Store, Apple Music, Apple Pay และ iCloud พนักงานของ Apple กว่า 100,000 คนทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดระดับโลก และทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นกว่าเดิมiPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max อยู่ภายในกฎของ FCC ตลอดจนบทบัญญัติด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การทำสัญญา และด้านอื่นๆ ตามกฎหมายของสหพันธรัฐหรือรัฐ โดยไม่สามารถจำหน่ายหรือส่งมอบได้จนกว่ากระบวนการอนุญาตจาก FCC จะเสร็จสิ้น

สรุปข้อมูล iPhone 14 ก่อนเปิดตัวกันยายน 2022 เปลี่ยนใหม่ทั้งกล้องและหน้าจอ

สรุปข้อมูล iPhone 14 ก่อนเปิดตัวกันยายน 2022 กับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ทั้งกล้องและหน้าจอแบบ Punch-Hole

หลังจากที่ได้มีการเปิดตัว iPhone 13 ทั้งสี่รุ่นใหม่กันไปเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา และมีการเปิดตัว iPhone SE รุ่นที่ 3 กันไปแล้ว ก็ได้มีข่าวของรุ่นใหม่กว่าอย่าง iPhone 14 ออกมาก่อนอย่างต่อเนื่อง ก่อนช่วงที่จะเปิดตัว iPhone 13 ด้วยซ้ำ จนถึงในตอนนี้ก็ต้องบอกว่าข่าวและเรื่องราวของไอโฟน 14 ก็ได้เริ่มมีการเปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อยให้เหล่าสาวก Apple ได้พอรู้กันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการดีไซน์ตัวเครื่อง หน้าจอที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รวมไปถึงสเปคของตัวเครื่อง ที่สำคัญก็คือกล้องที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ และรุ่นในซีรีส์ของไอโฟน 14 ที่อาจจะไม่ได้เห็นเจ้าตัวเล็กอย่าง iPhone xx mini กันอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นไลน์อัพในแบบใหม่แทน แถมยังมีข่าวออกมาว่าจะเปลี่ยนหน้าจอเป็นแบบ Hole-Punch แทนจอแบบรอยบากในรุ่นตัวท็อปอีกด้วย ก็ต้องมารอดูกันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้างในปีหน้า รวมไปถึง iPhone SE (รุ่นที่ 3) ที่เปิดตัวออกมาแล้ว ดูรีวิว iPhone SE 3 (2022) ที่นี่ และดูข้อมูล iPad Pro 2022 ที่นี่ แต่สำหรับในตอนนี้ใครที่อยากรู้ว่าข้อมูลข่าวสารของ iPhone 14 นั้นมีอะไรน่าสนใจบ้าง เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาบอกข่าวลือข่าวหลุดเกี่ยวกับ iPhone 14 ว่าเปิดตัววันไหน สเปคตัวเครื่องและกล้องมีอะไรใหม่บ้างเท่าที่รู้ในตอนนี้ ไปดูกันเลย

อย่างแรกที่คนให้ความสนใจกันไม่น้อยเลยเหมือนกัน นั่นก็คือเรื่องของรุ่นแต่ละรุ่นของ iPhone 14 ว่าจะมีไลน์อัพออกมาเหมือนเดิมคือรุ่นปกติ, mini, Pro และ Pro max เหมือนเดิมหรือไม่ จากข้อมูลที่ออกมาก็ได้เปิดเผยว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นรุ่น mini อีกต่อไปแล้ว ซึ่งรุ่นสุดท้ายที่จะมีก็คือ iPhone 13 mini เนื่องจากยอดขายที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และไม่ค่อยจะได้รับการตอบรับดีเท่าที่ควรจากผู้ใช้งาน เนื่องจากหลายๆ คนหันไปซื้อรุ่นปกติกันมากกว่า ในราคาที่ไม่ห่างกันมากนัก ทาง Apple เลยอาจจะมีการเปลี่ยนเป็นรุ่นดังนี้

สำหรับข่าวข้อมูลนี้ก็ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องจริงแน่นอนแล้ว ว่ารุ่นที่เปิดเผยออกมาใหม่นั้นจะมีด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่น โดยไม่มีรุ่นที่ใช้ชื่อมินิแล้ว แต่จะเปลี่ยนเป็นรุ่นธรรมดา พลัส กับรุ่นโปร และรุ่นโปรแม็กซ์ไปเลย อีกทั้งหน้าจอกว้างขั้นต่ำก็กว้างถึง 6.1 นิ้ว ที่สำคัญคือเราอาจจะได้เห็นราคาที่ถูกลงกว่าเดิมด้วย ในรุ่นต่ำกว่าโปร เพราะรูปแบบของหน้าจอที่ต่างกัน จากเดิมที่ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นไอโฟน 14 Max ก็มีข่าวใหม่ออกมาว่าอาจจะทำให้ผู้ใช้สับสน ดังนั้นทาง Apple อาจจะกลับมาใช้ชื่อ Plus แทน Max นั่นเอง

สำหรับรูปแบบการดีไซน์ตัวเครื่องของ iPhone 14 นั้นคาดว่าจะมีรูปร่างหน้าตาที่ยังคงเป็นแบบเหลี่ยมเหมือนกับ iPhone 13 อยู่เหมือนเดิม แต่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดอื่นๆ จากที่มีรูปพิมพ์ และภาพเรนเดอร์ที่หลุดออกมาโดยเว็บ Weibo และ MySmartPrice นั้นก็ได้เผยให้เห็นว่า โมดูลของกล้องทั้งหมดนั้นจะยังคงนูนขึ้นมาเหมือนเดิม คล้ายๆ กับตัว iPhone 13 แต่ว่าขนาดทั้งหมดจะเป็นเหมือนที่บอกเอาไว้ 4 รุ่น

แต่ก็แน่นอนว่าขนาดของโมดูลกล้องหลังนั้นจะใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อย เนื่องจากได้ปรับเปลี่ยนสเปคกล้องหลังให้ดีขึ้น ซึ่งถ้าเป็นตามแบบที่มีการเรนเดอร์ออกมานี้ ก็แทบจะไม่ต่างอะไรจาก iPhone 13 มากเท่าไหร่นัก จะมีก็ขนาดของรุ่น Pro Max ที่ทาง Baidu เผยออกมาล่าสุดว่าตัวเครื่องมีขนาด 160.71×78.78x7.85 มม. ที่หนากว่า iPhone 13 Pro Max พอสมควรจากเดิมที่มีขนาด 160.80×78.10x7.65 มม. กับหน้าจอในรุ่นโปรขึ้นไปที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดแล้ว (ดูเปรียบเทียบไอโฟน 14 โปรกับไอโฟน 13 โปรที่นี่)

นอกจากนี้ JP Morgan Chase ยังได้ออกมาบอกอีกว่า iPhone 14 รุ่นใหม่นี้จะมีการใช้วัสดุเป็นไทเทเนียมที่ผสมแบบพิเศษที่แข็งแรงและทนทานต่อรอยขีดข่วนกว่ารุ่นเดิมๆ ที่ผ่านมาด้วย ส่วนเรื่องพอร์ตชาร์จของ iPhone ที่หลายคนอยากจะเปลี่ยนพอร์ตที่เป็น Lightning ที่จะเปลี่ยนมาเป็น USB-C หรือถอดออกไปเลยและใช้เป็น MagSafe แทนตามข่าวลือที่ออกมา เรื่องนี้ต้องบอกว่าอาจจะมีในรุ่น iPhone 15 มากกว่า ซึ่งรุ่นนี้ก็คาดว่ายังคงใช้ Lightning แบบเดิมอยู่ดียังไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยน Lightning ให้เป็น USB 3.0 Lightning แทน ที่จะมีการโอนถ่ายข้อมูลและการชาร์จที่เร็วขึ้นเยอะมาก กับความจุที่อาจเพิ่มเป็น 2TB นั้นก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เพิ่มแต่ตัดรุ่นความจุต่ำสุดออกไปก็เป็นได้

สำหรับสีของ iPhone 14 นั้นมีข่าวลือออกมาได้เรื่อยๆ มากจริงๆ ว่าจะมีสีทั้งชมพู สีม่วง สีดำด้านและสีอื่นๆ เรียกได้ว่าตามกันจนเกือบไม่ทัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัด ว่าไอโฟนรุ่นใหม่นี้จะมีสีอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ยังพอจะมีข่าวให้เราได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน โดยข่าวล่าสุดที่บอกว่าจะมีสีม่วงที่เป็นสีม่วงแบบใหม่ กับสีน้ำเงิน ซึ่งปกติแล้ว iPhone รุ่นปกติกับรุ่นโปรนั้นจะใช้สีแบบเดียวกัน แต่มีสีสันเป็นคนละเฉดสี ซึ่งถ้าข่าวที่ออกมานั้นเป็นจริงเราอาจจะได้เห็นสีของ ไอโฟน 14 และ 14 Max ในสีดำ, สีขาว, สีฟ้า, สีแดง และสีม่วง ส่วนไอโฟน 14 Pro‌ และรุ่น Pro‌ Max จะมีสีเขียว, กราไฟต์, สีทอง, สีเงิน และ Dark Purple แต่พวกสีสันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสีชมพู หรือดำด้านต่างๆ นั้นยังไม่มีข่าวที่แน่ชัดมากนัก

ส่วนชิปประมวลผลก็แน่นอนว่าต้องเป็นตัวเจนใหม่อย่าง Apple A16 ที่เป็นชิปขนาด 4nm ด้วยกระบวนการ N5P ที่ผลิตโดย TSMC โดยเป็นชิปที่มีขนาดเล็กกว่า A13, A14 ที่เป็นแบบ 5nm อีกด้วย ทั้งนี้ทาง Ming-Chi Kuo ก็ได้บอกอีกว่าจะมีการปรับปรุงขึ้นมาเล็กน้อยจาก A15 ที่สำคัญคือชิป A16 นั้นจะใช้แค่เพียงในรุ่น Pro เท่านั้น ส่วนในรุ่นเริ่มต้นที่ไม่ใช่โปรจะใช้ชิป A15 Bionic แบบเดียวกับ iPhone 13 ซึ่งเรื่องนี้ก็มีหลายแหล่งข่าวบอกเหมือนกันด้วยทั้ง TrendForce และ Mark Gurman จาก Bloomberg แต่ถึงแม้ว่ารุ่นปกติจะใช้ชิป A15 เหมือนเดิมก็ตาม แต่ทาง ShrimpApplePro ก็บอกว่าได้เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมมากกว่า iPhone 13 ทั้งโมเด็มเซลลูลาร์ใหม่ และการออกแบบภายในใหม่ให้ดีกว่าเดิม

ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือฟีเจอร์ Car Crash Detection ที่มีข่าวออกมาว่า Apple กำลังทำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ด้วย สำหรับมือถืออย่าง iPhone และ Apple Watch ที่อาจจะมีการเปิดตัวมาในปีหน้า 2022 โดยจะใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับอุบัติเหตุ ที่ใช้การวัดแรงโน้มถ่วงที่สูงขึ้น และเมื่อตรวจจับได้ iPhone หรือ Apple Watch ก็จะทำการโทรฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือในตัวไอโฟน 14 และ Apple Watch รุ่นที่ 8 อารมณ์คล้ายๆ กับ Apple Watch ที่จับการล้มของผู้สูงอายุอะไรประมาณนั้นเลย อันนี้ต้องรอดูอีกทีว่าจะทำได้จริงหรือไม่อย่างไร ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อก็แน่นอนว่าจะยังเชื่อมต่อ 5G และ WiFi 6E จากแบนด์วิดท์ 6GHz ที่มีการเชื่อมต่อในระดับความเร็วสูง และยังลดระดับการรบกวนของสัญญาณที่เหมาะกับการใช้งาน AR และ VR อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้มีข่าวออกมาว่าทาง Apple ได้ร่วมมือกับ Globalstar เพื่อพัฒนาการรับส่งข้อความผ่านดาวเทียม โดยไม่ต้องใช้สัญญาณมือถือในกรณีฉุกเฉินได้อีกด้วย

ที่สำคัญก็คือการปรับปรุงการระบายความของตัวเครื่อง ที่อาจจะมีการใช้ VC หรือที่รู้จักกันดีคือ Vapor Chamber Cooling Technology ที่ช่วยระบายความร้อนได้ดี เนื่องจากชิปที่เร็วแรงกว่าเดิม พร้อมกับการรับสัญญาณ 5G ที่เร็วขึ้นด้วย แต่เรื่องนี้ Apple ก็ยังคงปรับปรุงอยู่ไม่รู้ว่าจะได้เห็นกันหรือไม่ นอกจากนี้เรื่องของ RAM นั้นก็มีข่าวเผยออกมาว่ามีภาพหลุดสเปคออกมา และมีการบอกสเปคภายในเอาไว้ว่าทุกรุ่นของ iPhone 14 จะใช้ RAM 6GB เท่ากันหมดทุกรุ่นทั้ง 4 รุ่นเลย รวมไปถึงการนำช่องใส่ซิมออก เหลือเพียงการใช้งาน e-SIM แทนในบางประเทศอย่างอเมริกาด้วย ซึ่งการใช้ e-SIM นี้ก็คาดว่าจะใช้ในไอโฟน 14 ทุกรุ่นเช่นกัน

สำหรับเรื่องของหน้าจอที่ถูกพูดถึงกับเยอะมากตั้งแต่ช่วงต้นปี ว่าในรุ่น iPhone 14 นั้นจะเอารอยบาก (notch) ที่เอาไว้ใช้สำหรับ Face ID ออกไป ซึ่งเรื่องนี้ Ming-Chi Kuo ได้ออกมาบอกว่าในไอโฟน 14 บางรุ่นจะยังคงมีรอยบากบนหน้าจออยู่เหมือนเดิม แต่ว่าในรุ่นที่สูงระดับ Hi-end หรือว่ารุ่นโปรขึ้นไป จะเปลี่ยนไปเป็นแบบหน้าจอแบบเจาะรู (Punch Hole) ที่เป็นรูปแบบเม็ดยาแทน (เหมือนกับ Android หลายๆ รุ่น) ซึ่งถ้าทำออกมาแล้วได้รับผลตอบรับที่ดี ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นแบบเจาะรูทั้งหมดในรุ่นต่อไปก็เป็นได้ รวมไปถึงเว็บ The Elec ของเกาหลีก็ได้ออกมาบอกเช่นกันว่าหน้าจอในรุ่น Hi-end จะใช้เป็นแบบเจาะรู้แทนแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็มีหลายแหล่งข่าวและคาดว่าจะใช้หน้าจอเจาะรูจริงๆ ในไอโฟน 14 รุ่นโปรขึ้นไปนั่นเอง

ล่าสุดทาง @dylandkt กับ Ross Young และแหล่งข่าวอื่นๆ ก็ได้ออกมาบอกว่าหน้าจอที่เป็นแบบ Hole-Punch นั้น จะมีอยู่ในรุ่น Pro และ Pro Max ที่เป็นช่องเจาะรูแบบรูปทรงเม็ดยาแคปซูล หรือว่าเป็นรูปวงรีเล็กๆ พร้อมกับจุดกลมๆ อยู่ข้างๆ กัน ส่วนการสแกนหน้าหรือว่า Face ID ก็จะทำการซ่อนไว้ใต้หน้าจอ และสามารถสแกนปลดล็อคได้ไม่ต่างอะไรจากหน้าจอรูปแบบเดิมเลย ซึ่งทาง Jon Proser ก็ได้ออกมายืนยันอีกเสียงว่าจะเป็นหน้าจอแบบเจาะรู ตามแหล่งข่าวที่ออกมาเช่นกัน ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย

แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ก็ยังมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่าตรงกล้องหน้าที่เจาะรูนั้นทาง Apple จะรวมทั้งสองช่องเป็นช่องเดียวยาวๆ ไปเลย ไม่ได้แยกกันตามที่มีรูปเผยออกมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังคงใช้เป็นรูปแบบแคปซูลเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ได้แยกออกจากกัน ส่วนช่างเหล่านั้นก็จะมีทั้งกล้องหน้า ไมค์ ไฟแสดงสถานะ ที่จะเป็นแถบเดียวยาวไปเลยนั่นเอง ทั้งนี้ก็มีการบอกอีกว่าทาง Apple จะทำให้ไฟแสดงสถานะมีความสว่างมากกว่าส่วนอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมากก็ตาม เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น

ส่วนคำถามที่ว่าถ้าเอาออกไปแล้วจะสแกน Face ID อย่างไร? เรื่องนี้ Ross Young ก็ได้บอกว่าอาจจะใช้ Face ID แบบฝังไว้ใต้หน้าจอแทน ส่วน Touch ID นั้นคงยังไม่ได้เอากลับมาใช้งานในเร็วๆ นี้แน่นอน แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็น iPhone รุ่นใหม่นี้มีทั้ง Face ID และ Touch ID อยู่ในเครื่องเดียวกันก็เป็นได้ใน iPhone 15 สุดท้ายคือหน้าจอแบบ ProMotion ที่ The Elec ได้ออกมาเผยว่าไอโฟน 14 จะยังใช้แค่ในรุ่น Pro แต่รุ่นปกติจะยังเป็น LTPS OLED 60Hz ส่วนรุ่นโปรขึ้นไปจะมี ProMotion 120Hz เหมือนเดิม และใช้หน้าจอ LTPO OLED ที่ผลิตโดย LG Display แทนของ Samsung แล้ว หรือไม่ก็อาจจะมีการอัพเกรดให้สามารถปรับความไหลลื่นของหน้าจอจาก 1Hz-120Hz จากเดิมที่ปรับได้ตั้งแต่ 10Hz-120Hz ก็เป็นได้ อีกทั้งทาง Mark Gurman ก็ได้บอกอีกว่าอาจจะได้เห็นฟีเจอร์ Always-on display ที่มาพร้อมกับ iOS16 ด้วย รออัพเดทกันได้เลย

มาถึงเรื่องของกล้องหลังของไอโฟน 14 กันบ้างที่เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกล้องอัลตร้าไวด์ ที่จะใช้เทคโนโลยี Periscope ที่สามารถซูมแบบออปติคอลได้สูงสุด 10 เท่า โดยที่ไม่ทำให้ตัวเครื่องหนาขึ้นมากนัก (แต่ก็ไม่ได้เรียบไปกับฝาหลัง ตามข่าวที่ออกมาตอนแรกแล้วแน่นอน) ถึงแม้ว่า Android บางรุ่นจะทำกันไปก่อนหน้านี้ และทาง Apple ก็เคยเจอปัญหากับเรื่องการจดสิทธิบัตรมาแล้ว

อีกอย่างก็คือทาง Ming-Chi Kuo ก็ได้ออกมาบอกอีกว่าทาง Apple จะอัพเกรดเลนส์เทเลโฟโต้ใหม่จาก 6 ชิ้นเป็น 7 ชิ้น และในตัวกล้องเลนส์ไวด์จะมีความละเอียดมากถึง 48MP จาก Sony กันเลยทีเดียว แน่นอนว่าจะต้องดีกว่าตัวเดิมที่มีความละเอียด 12MP และจะถ่ายวิดีโอได้ถึงระดับ 8K พร้อมกับมีฟีเจอร์ Focus Pixels และ Pixel Binning อีกทั้งยังมีขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่าเดิม ให้การถ่ายตอนกลางคืนมีคุณภาพสูงมากขึ้น พร้อมกับอีกสองเลนส์คืออัลตร้าไวด์ และเทเลโฟโต้มีความละเอียด 12MP กับ LiDAR Scanner แน่นอนว่าตัวเลนส์เทเลโฟโต้จะมีแค่รุ่นโปรเท่านั้น รุ่นธรรมดาจะมีกล้องสองตัวเหมือนเดิม

ส่วนกล้องหน้าคาดว่าจะมีการอัพเกรดใหม่ให้มีรูรับแสง F/1.9 (จากเดิม F/2.2) ที่สามารถโฟกัสได้อัตโนมัติ และด้วยรูรับแสงที่กว้างขึ้น ทำให้ภาพที่ออกมาคมชัด ควบคุมระยะชัดลึกและรับแสงได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ด้วย

สำหรับการเปิดตัวของ iPhone 14 ตามที่หลายๆ แหล่งข่าวได้เผยออกมา ว่าจะมีการจัดงานอีเวนท์ Far Out จาก Apple และคาดว่าทาง Apple จะมีการเปิดตัวอุปกรณ์หลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น Apple Watch Series 8, Apple Watch Series 8 Pro, Apple Watch SE 2, AirPods Pro 2 และ iPhone 14 ในวันพุธที่ 7 กันยายน 2022 (เที่ยงคืนวันที่ 8 ตามเวลาประเทศไทย) ที่จะถึงนี้เอง พร้อมเปิดจองในวันที่ 9 ก.ย. 2022 และวางขายในวันที่ 16 ก.ย. 2022 เพราะทาง Apple ได้ออกมาบอกให้พนักงานขายบางส่วนเริ่มเตรียมขายผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว

ส่วนเรื่องราคาต้องรอดูกันอีกทีว่าจะมีอะไรเพิ่มเติมเข้ามาในรุ่นใหม่บ้าง ส่วนราคานั้นคาดกันว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดิมในรุ่น Pro และ Pro Max ประมาณ 100$ (เป็น $1,099 – $1,199 ในราคาเริ่มต้นแต่ละรุ่น) แต่อาจจะเพิ่มขนาดความจุมาให้แทน ส่วนรุ่น iPhone 14 Max จะมีราคาเริ่มต้นต่ำกว่า $900 ถือว่าถูกสุดเท่าที่เคยทำมาแล้วในหน้าจอ 6.7 นิ้ว ก็ต้องรอดูการอัพเดทเรื่องราวข่าวใหม่ๆ กันอยู่เรื่อยๆ ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสเปคของ iPhone 14 รุ่นใหม่นี้ไปมากน้อยแค่ไหน โดยราคาที่คาดเอาไว้เป็นราคาเงินบาทไทยจากราคา iPhone 13 ในตอนนี้จะมีราคาเริ่มต้นรวมภาษีดังนี้ (ยังไม่ใช่ราคาจริงนะ แค่คาดเดากันไว้ ราคาจริงอาจสูงหรือต่ำกว่านี้ก็ได้)

แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลข่าวหลุดข่าวลือของ iPhone 14 ที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้ ซึ่งในตอนนี้ถึงแม้ว่าข้อมูลต่างๆ จะยังไม่ได้รับการคอนเฟิร์ม จะเป็นเพียงข่าวหลุดข่าวลือ ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Apple โดยตรง แต่ก็มีหลายคนที่เชื่อว่าข่าวหลุดจากผู้ที่เคยบอกมานั้นเป็นเรื่องจริง ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง เพราะจากที่ผ่านๆ มาข่าวหลุดข่าวลือทั้งหลายนี้ ก็มีเรื่องจริงให้เราได้เห็นกันหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งในรุ่น iPhone 14 นี้เท่าที่ดูแล้วก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายอย่างเลย ทั้งขนาดของตัวเครื่อง และรายละเอียดการดีไซน์ในซีรีส์ไอโฟน 14 กับหน้าจอที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ รวมไปถึงกล้องหน้า และกล้องหลังที่เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง พร้อมกับกล้องเทพๆ ให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกันอีก ต้องรอดูว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง คอยติดตามกับทาง Specphone ได้เลย แล้วถ้ามีอะไรอัพเดทอีก เราก็จะมาอัพเดทกันเรื่อยๆ เลยนะครับ

สรุปข่าวลือล่าสุดของ iPhone 14 และ iPhone 14 Pro ก่อนเปิดตัว

นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน iPhone 14 และ iPhone 14 Pro ก็จะได้รับการเปิดตัวทางการแล้ว โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา iPhone รุ่นใหม่ของ Apple มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอะไรบ้าง? เว็บไซต์ MacRumors ได้สรุปมาให้แล้ว

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เคยถูกลือว่าจะไม่มีรอยบากบนหน้าจออีกต่อไปแล้ว แต่แทนที่ด้วยการเจาะรู 2 ช่อง เป็นรูปทรงแคปซูลยา วางคู่กับรูกลมๆ โดยรายงานล่าสุดอ้างว่า ขณะที่มีการเปิดใช้งาน อาจมองเห็นเป็นรูปแคปซูลยาที่ยาวต่อเนื่องกัน ไม่ได้เห็นเป็น 2 ช่อง และจะมีการคั่นกลางระหว่างช่องด้วยตัวบ่งชี้

ตัวบ่งชี้ดังกล่าว มีไว้เพื่อบอกให้ผู้ใช้งานทราบว่า iPhone กำลังเข้าถึงกล้องและไมโครโฟน ซึ่งใน iPhone รุ่นปัจจุบันก็มีตัวบ่งชี้แบบนี้เช่นกัน มองเห็นได้ที่มุมบนของจอแสดงผล โดยจุดสีส้มหมายถึงมีการใช้ไมโครโฟน และจุดสีเขียว หมายถึงกำลังใช้กล้อง

iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ยังถูกลือว่าจะมีดีไซน์คล้ายกับ iPhone 13 รวมถึงชิปประมวลผลก็ยังไม่ได้รับรุ่นใหม่ แต่สำหรับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่มีรอยบากบนหน้าจอ รองรับโหมด Always-On Display ได้รับกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมชิปรุ่นใหม่ A16 และความจุเริ่มต้นที่ 256GB

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ Graphite, Silver, Gold, Purple และ Green ซึ่งดูเหมือนสี Purple จะมาแทนสี Sierra Blue

iPhone 14 Pro เคยถูกลือว่าจะมีตัวเลือกที่ใช้วัสดุไทเทเนียม แต่ Apple พิจารณาแล้วว่ามีความยากในการผลิตและอาจทำให้มีราคาสูงเกินไป จึงตัดสินใจไม่ผลิตออกมา

iPhone 14‌ ทั้ง 4 รุ่น จะได้รับการปรับปรุงแม่เหล็ก MagSafe ให้แข็งแรงมากขึ้น และ Apple ยังเตรียมเปิดตัวอุปกรณ์เสริมใหม่สำหรับแบตเตอรี่ด้วย (อาจหมายถึง MagSafe Battery Pack รุ่นใหม่)

แน่นอนว่าชิป A16 Bionic จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าชิป A15 Bionic ในปัจจุบัน แต่นอกจากความเร็ว ยังได้รับการปรับปรุงการจัดการความร้อนให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งแหล่งข่าวไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่าหมายถึงการเพิ่มระบบระบายความร้อน ตามที่เคยมีข่าวลือหรือไม่

รายงานล่าสุดของ TrendForce บริษัทวิจัยในไต้หวันคาดว่า iPhone 14 อาจมีราคาเริ่มต้นถูกกว่า iPhone 13 เนื่องจาก iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ ไม่มีรุ่น mini อีกต่อไปแล้ว ทำให้ iPhone 14 ที่มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว กลายเป็นรุ่นเริ่มต้น โดยมีราคา 749 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 27,590 บาท (iPhone 13 เริ่มต้นที่ 799 ดอลล่าร์สหรัฐ)

TrendForce รายงานว่า Apple จำเป็นต้องปรับราคา iPhone 14 series ให้เพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า Apple มีกลยุทธ์การกำหนดราคาที่ระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อยอดขาย

ทั้งนี้ Apple จะเปิดตัว iPhone 14 และ iPhone 14 Pro ในกิจกรรม Far Out วันที่ 7 กันยายนนี้ ซึ่งตรงกับวันที่ 8 กันยายน 2565 เวลา 0.00 น. ของประเทศไทย

Comments

Post Comments