IPhone14 ดีอย่างไร ยอดจองสูงเป็นประวัติการณ์

IPhone14 ดีอย่างไร ยอดจองสูงเป็นประวัติการณ์

มาตามข่าวลือ! แอปเปิลเปิดตัวเรือธงใหม่ iPhone 14 และผลิตภัณฑ์อีกคับคั่ง

หลังจากตั้งตารอคอยท่ามกลางข่าวลือต่าง ๆ นานากันมาเป็นเวลาพอสมควร ในที่สุดเราก็ได้เห็นโฉมหน้าผลิตภัณฑ์ใหม่ของ “แอปเปิล (Apple)” ประจำเดือน ก.ย. 2022 จากงาน Apple Event 2022 ที่แม้จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพียง 3 ไลน์อัปหลัก แต่ก็อัดแน่นจนใครได้เห็นก็ต้องจุกไปตาม ๆ กันกับคุณภาพ

ซึ่งบรรดาผลิตภัณฑ์ที่ประกาศออกมาในรอบนี้ นับว่าสำเนาถูกต้องกับข่าวลือที่ออกมาอย่างถาโถมก่อนหน้านี้ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกัน

แอปเปิลเสิร์ฟออร์เดิร์ฟด้วย “Apple Watch Series 8” เป็น Apple Watch รุ่นใหม่ที่มีทุกคุณสมบัติที่รุ่นก่อน ๆ เคยมี แต่บวกด้วยเทคโนโลยีและฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่มุ่งยกระดับความปลอดภัยและการดูแลสุขภาพของผู้ใช้งาน

จอใหญ่ขึ้น สว่างมากขึ้น และหน้าปัดใหม่ เพิ่มเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ (Temperature Sensor) ที่จะคอยเช็กร่างกายของผู้สวมทุก 5 วินาทีแม้แต่ในตอนนอน นอกจากนี้ ยังเพิ่มคุณสมบัติเอาใจคุณผู้หญิง ด้วยฟีเจอร์ติดตามรอบประจำเดือนพร้อมการคาดคะเนช่วงไข่ตก

ฟีเจอร์สำคัญของ Apple Watch รุ่นใหม่นี้คือ “การตรวจจับการชน (Crash Detection)” จะตรวจจับอุบัติเหตุรถชนด้วยเซนเซอร์ Gyroscope 3 แกน, Accelerometer, พร้อมระบบ GPS ความแม่นยำสูงช่วยให้ผู้ที่ประสบอุบัติร้องขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่กดปุ่ม SOS ที่จะเด้งขึ้นมาหากมันตรวจพบว่าผู้สวมใส่เกิดอุบัติเหตุ

แบตเตอรี่ของ Apple Watch Series 8 ได้รับการพัฒนาให้อึด ถึก ทน มากขึ้น โดยการชาร์จหนึ่งครั้งสามารถอยู่ได้ถึง 18 ชั่วโมง และหากเปิดใช้ Low Power Mode จะอยู่ได้นานถึง 36 ชั่วโมง

Apple Watch Series 8 มาใน 4 สี ได้แก่ มิดไนต์ สตาร์ไลต์ ซิลเวอร์ และโปรดักต์เรด ราคาเปิดตัวในไทยประกาศเริ่มต้นที่ 15,900 บาท นอกจากนี้ยังมีสายนาฬิกาที่คอลแลบกับแบรนด์ดังอย่างแอร์เมส (Hermes) ด้วย

สำหรับใครที่อาจจะสู้ราคาของ Apple Watch Series 8 ไม่ไหวแต่อย่างได้ฟีเจอร์ดี ๆ เหล่านี้ แอปเปิลก็จัด “Apple Watch SE” รุ่นใหม่ให้ โดยสามารถใช้งานฟีเจอร์หลักของ Apple Watch Series 8 ได้อย่างครบถ้วน ในราคาเริ่มต้น 9,900 บาทเท่านั้น

Apple Watch Ultra มิติใหม่ของนาฬิกาเพื่อการผจญภัยและกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม

แต่ไฮไลต์เด็ดของไลน์อัป Apple Watch อยู่ที่ “Apple Watch Ultra” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แอปเปิลปิดตัว Apple Watch รุ่นนี้

นอกจากนี้ ยังรองรับการผจญภัยเอ็กซ์ตรีมสุดขั้ว ด้วยระบบ GPS L1+L5 รับพิกัดดาวเทียมได้อย่างแม่นยำที่สุด หาตัวผู้สวมใส่เจอได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก

แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 36 ชั่วโมง และหากเป็นฌหมดประหยัดพลังงานจะอยู่ได้สูงสุดถึง 60 ชั่วโมง ยังมีความทนทานสูง ทนน้ำได้ลึก 100 เมตร หรือหากไปวิ่งมาราธอน ปีนเขา ปั่นจักรยานทางไกล ลุยหิมะ ฝ่าทะเลทราย ก็สามารถทำงานได้

หากอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เช่น ติดอยู่บนภูเขาหิมะ ก็มีลำโพงและไมค์คุณภาพสูง พูดคุยสื่อสารได้ในทุกสถานการณ์ สายนาฬิกายังมีถึง 3 รูปแบบ คือ Alpine, Trail และ Ocean ซึ่งเหมาะกับแต่ละสถานการณ์การผจญภัยแตกต่างกันออกไป

ไม่เพียงเท่านั้น Apple Watch Ultra ยังมีระบบเข็มทิศที่จะช่วยให้คุณสามารถกลับไปยังพื้นที่ปลอดภัยหรือค่ายพักที่ปักหมุดไว้ได้อย่างแม่นยำในกรณีที่หลงทางด้วยระบบ Backtrack

ด้วยคุณสมบัติที่บุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่นแบบนี้ Apple Watch Ultra เปิดตัวในประเทศไทยด้วยราคา 31,900 บาท

แอปเปิลยังคงไม่เสิร์ฟอาหารจานหลัก แต่นำ “AirPods Pro (Gen 2)” มายั่วน้ำลายอีกหนึ่งคำรบ ยกระดับคุณภาพเสียงด้วยชิปตัวใหม่ H2 ใหม่ให้ได้ยินเสียงที่คมชัดยิ่งขึ้น

AirPods Pro เจนใหม่มาพร้อม Spatial Audio ให้ได้ยินเสียงเหมือนอยู่บนเวทีกับวงดนตรี และยังมี Personalized Spatial Audio ปรับให้เข้ากับหูแต่ละคนได้

ในส่วนของระบบตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) ก็ได้รับการพัฒนาให้สามารถตัดเสียงรบกวนได้มากกว่าเดิม 2 เท่า รวมถึงมีคุณสมบัติ Adaptive Transparency ปรับตามเสียงสภาพแวดล้อมภายนอกได้แบบเรียลไทม์

เพิ่ม Touch Control สามารถใช้นิ้วสไลด์ก้านหูฟัง เพื่อปรับระดับเสียงได้ จุกหูฟังซิลิโคนที่ยืดหยุ่นมีมาให้ 4 ขนาด เพื่อให้คุณได้เลือกขนาดที่เหมาะกับหูของคุณเอง

แบตเตอรี่อยู่ได้นานถึง 6 ชม. เพิ่มขึ้นจากเดิม 33% หากชาร์จรวมกับเคสจะอยู่ได้นาน 30 ชม. เคสชาร์จ MagSafe ที่ออกแบบมาใหม่ มาพร้อมชิป U1 ที่มีคุณสมบัติตำแหน่งที่ตั้งจริง ซึ่งจะช่วยคุณระบุตำแหน่งของเคสและตามหาผ่าน Find My ได้ และถ้าคุณอยู่ใกล้ ๆ แต่เคสถูกเก็บซ่อนไว้ ก็สามารถเล่นเสียงจากลำโพงในตัวได้

มาถึงอาหารจานหลักที่ทุกคนรอคอยซึ่งแอปเปิลเก็บไว้เป็นของดีสุดท้ายของงาน Apple Event 2022 นั่นคือ “iPhone 14” และ “iPhone 14 Plus” มี 5 สีให้เลือก ได้แก่ มิดไนต์ สตาร์ไลต์ ฟ้าโทนใหม่ ม่วงโทนใหม่ และโปรดักต์เรด มาพร้อมขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้ว ตามลำดับ

ส่วนกล้องหน้า มี TrueDepth Camera ถ่ายภาพแสงน้อยดีขึ้น 38% โฟกัสได้เร็ว แม้แสงจะน้อย ยังมี Deep fusion และ Photonic Engine ที่ช่วยให้ได้ภาพที่สีสวยและสว่างขึ้น เทียบกับ iPhone 13 นับว่ากล้องดีกว่าอย่างน้อย 2 เท่า

นอกจากนี้ iPhone 14 และ 14 Plus ยังรองรับ eSim หรือซิมดิจิทัล ที่ไม่จำเป็นต้องใส่ตัวซิมจริง ๆ ลงในโทรศัพท์มือถืออีกแล้ว

iPhone 14 และ 14 Plus ยังมาพร้อมระบบ Crash Detection แบบเดียวกับใน Apple Watch รวมถึง Emergency SOS Satellite ให้คุณสามารถสื่อสารหรือขอความช่วยเหลือในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ได้ ด้วยการเชื่อมต่อกับดาวเทียมนอกโลกแทน ซึ่งระบบนี้จะมีในสหรัฐฯ และแคนาดาก่อน

iPhone 14 ราคาเปิดตัวในประเทศไทยอยู่ที่ 32,900 บาท ซึ่งทางแอปเปิลบอกว่าใกล้เคียงกับ iPhone 13 แต่สเปกดีขึ้นมาก สั่งซื้อล่วงหน้า 9 ก.ย. เริ่มตั้งแต่เวลา 19‍.‍00 น. iPhone 14 เริ่มวางจำหน่าย 16 ก.ย. และ iPhone 14 Plus เริ่มวางจำหน่าย 7 ต.ค.

และไฮไลต์เด็ดของไลน์อัป iPhone นั่นคือ การเปิดตัว “iPhone 14 Pro” และ “iPhone 14 Pro Max” ที่มาใน 4 สี คือ ดำ ขาว ทอง และม่วง กับจอขนาด 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้วตามลำดับ

บริเวณหน้าจอเปลี่ยนจากรอยบาก (Notch) มาเป็น “Dymamic Island” ซึ่งมีลักษณะเป็นอินเทอร์เฟซขนาดเล็ก สามารถแจ้งเตือนแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงสลับการใช้งานได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้าแอปฯ

หน้าจอปรับปรุงให้สว่างขึ้นรองรับฟังก์ชันพิเศษ “จอแสดงผลตลอดเวลา (Always-On Display)” โดยจะสามารถแสดงวิดเจ็ตที่ให้ข้อมูลสภาพอากาศ ปฏิทิน หุ้น กิจกรรม และข้อมูลอื่น ๆ ในขณะที่หน้าจอยังคงมีความสว่างและเฟรมเรตต่ำ

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ใช้ชิปใหม่ A16 Bionic ซึ่งแอปเปิลเคลมว่า เป็นชิปที่เร็วที่สุดในตลาดสมาร์ตโฟนปัจจุบัน มีศักยภาพทำงานเร็วกว่าสมาร์ตโฟนของคู่แข่ง 40% ใช้พลังงานน้อยลง 20% เทียบกับชิป A15 และใช้พลังงานเพียง 1 ใน 3 ของคู่แข่งรุ่นที่ดีที่สุด

ไอโฟนรุ่นเทพนี้มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ใหญ่ขึ้น 65% พร้อมเลนส์เทเล 12 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพแสงน้อยได้ดีกว่า iPhone 13 Pro ถึง 2 เท่า กล้องยังสามารถซูมได้หลายระยะขึ้นด้วย ความเทพของกล้องนี้ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีความละเอียดมาก แม้ขยายภาพภาพก็ยังไม่แตก

ส่วนการถ่ายวิดีโอก็มี Action Mode เช่นเดียวกับ iPhone 14 รุ่นปกติ สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียก 4K ได้ด้วย แบตเตอรี่ยังอึดในระดับ All-Day Battery Life เช่นกัน

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดทั้งมวล ทำให้แอเปิลถึงกับนิยามว่า iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เป็นไอโฟนที่ดีที่สุด สนนราคาเปิดตัวในไทยอยู่ที่ 41,900 บาท สั่งซื้อล่วงหน้า 9 ก.ย. เริ่มตั้งแต่เวลา 19‍.‍00 น. และเริ่มวางจำหน่าย 16 ก.ย.

และทั้งหมดนี้คือผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของแอปเปิลที่เปิดตัวเมื่อคืนที่ผ่านมา เรียกได้ว่าอัดสเปกใส่ลูกค้ากันแบบสุด ๆ แต่ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่แอปเปิลยังคงอุบไว้รอเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ โดยอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมี iPad ที่หลายคนคงได้เห็นข่าวลือหลุดออกมากันบ้างแต่ไม่ได้ปรากฏตัวในงานนี้ สาวกแอปเปิลก็ขอให้ติดตามกันต่อไป

มัดรวมข่าวลือ iPhone 14 ก่อนเปิดตัวในงาน Apple Event กันยายนนี้!

ใครเป็นสาวก Apple ย่อมรู้ว่า อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้างาน Apple Event สำหรับเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะเริ่มขึ้นแล้ว แน่นอนว่า ส่วนใหญ่จดจ่อรอการมาถึงของ iPhone 14 ก่อนวันนั้นจะมาถึง แอลเมนขอรวบตึงสเป็กที่ลือออกมามากมายให้รู้ก่อนใครและเตรียมเงินในกระเป๋าสตางค์ให้พร้อมกันก่อนเลย

เริ่มต้นที่ข่าวลือแรก iPhone 14 จะแบ่งเป็น 4 รุ่นเหมือนเดิม โดยแบ่งเป็นเวอร์ชั่นเริ่มต้น 2 รุ่น คือ iPhone 14 ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 14 Max ขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว (เท่ากับรุ่น iPhone 14 Pro Max) ส่วนเวอร์ชั่นไฮเอนด์อีก 2 รุ่น คือ iPhone 14 Pro ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 14 Pro Max ขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว ว่ากันว่า Apple จะตัด iPhone Mini ออกจากไลน์การผลิต หลังจากทำยอดขายไม่ดีเท่าที่ควร

หนึ่งในข่าวลือที่มาแรงตลอดทั้งปีคือ รอยบากบนหน้าจอ iPhone 14 จะหายไป แล้วเปลี่ยนรูปทรงเป็น “แคปซูลและรูกลมๆ” แทน หลังจาก Apple สามารถพัฒนาการฝังเซนเซอร์ต่างๆ ใต้หน้าจอและตอบสนองการใช้งานได้ดีอย่างที่ต้องการ อย่างไรก็ดีรูปทรงใหม่นี้จะใช้กับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เท่านั้น ส่วนรุ่นเริ่มต้นอีก 2 รุ่นจะมากับรอยบากเช่นเดิม

สีใหม่คงกลายเป็นลูกเล่นของ iPhone ไปแล้ว ตามข่าวลือที่ไม่ได้รับการยืนยันเชื่อว่า “สีม่วง” จะเป็นสีใหม่ของ iPhone 14 ทั้งเวอร์ชั่นเริ่มต้นและเวอร์ชั่นไฮเอนด์ แต่จะมาในเฉดสีม่วงที่แตกต่างกัน หากข่าวลือนี้เป็นจริง สิ่งที่เราเห็นในปีนี้คือ iPhone 14 และ 14 Max จะวางจำหน่าย สีดำ สีขาว สีฟ้า สีแดง และสีม่วง ขณะที่ ‌iPhone 14 Pro‌ และ ‌iPhone 14 Pro‌ Max จะมีสีกราไฟต์ สีทอง สีเงิน และสีม่วง

Ming-Chi Kuo หนึ่งในนักวิเคราะห์ผู้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple ที่คนเชื่อถือให้ข้อมูลว่า ปีนี้ Apple จะปรับกล้องหน้า iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่นใหม่หมด โดยจะมาพร้อมรูรับแสงกว้าง ƒ/1.9 และระบบออโตโฟกัส ซึ่งรูรับแสงที่กว้างขึ้นจะช่วยให้แสงผ่านเลนส์ไปยังเซนเซอร์มากขึ้น พลอยทำให้คุณภาพของภาพดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนระบบออโตโฟกัสจะทำให้การใช้วิดีโอคอลไม่ว่าจะ Facetime และประชุม Zoom ง่ายและดีขึ้นกว่ากล้องหน้า iPhone 13 ที่โฟกัสคงที่และรูรับแสงกว้าง ƒ/2.2

นอกจากนี้ยังลือว่า สเป็กกล้องหลังของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะเทพกว่าเดิมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกล้อง Wide จะเพิ่มความละเอียดถึง 48 ล้านพิกเซล โดยมีเทคโนโลยี Pixel Binning ช่วยปรับคุณภาพของภาพ เมื่อสภาพแสงดีกล้องจะเก็บภาพที่ความละเอียดสูงสุด แต่เมื่อสภาพแสงไม่เอื้ออำนวย กล้องจะใช้กระบวนการ Pixel Binning ถ่ายภาพ 12 ล้านพิกเซลที่มีความละเอียดสูงแทน ส่วนกล้อง Telephoto จะมาพร้อมชิ้นเลนส์มากถึง 7 ชิ้น ทั้งหมดนี้จะทำให้เลนส์และฐานกล้องหลังหนามากขึ้น ส่วนการบันทึกวิดีโอจะรองรับความละเอียดระดับ 8K อันเป็นระดับความคมชัดของโทรทัศน์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน

ข่าวลือสุดท้าย นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ประเมินว่า ราคา #iPhone14 ทุกโมเดลจะมีราคาแพงขึ้นจาก iPhone13 ประมาณ 15% แต่เขาไม่ได้ระบุราคาของ iPhone รุ่นใหม่อย่างชัดเจน เพียงแต่กะคร่าวๆ ว่าจะอยู่ในช่วงราคา $1,000-1,050 แต่ Apple จะเพิ่มหน่วยความจอีกเท่าตัวเป็น 256 กิ๊กกะไบต์แทน 128 กิ๊กกะไบต์แบบรุ่นเดิม

สุดท้ายนักวิเคราะห์ประเมินว่า Apple Event รอบใหม่จะจัดขึ้นวันท่ี 7 กันยายนและเริ่มขายเครื่องล็อตแรกในวันที่ 16 กันยายน แต่นี่เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น ยังคงต้องรอ Apple เปิดเผยรายละเอียดออกมาอีกที

IPhone14 ดีอย่างไร ยอดจองสูงเป็นประวัติการณ์

Highlight ยอดขาย iPhone วันแรกในไทย คึกคักตามคาด โดย iPhone 14 ProMax สี Deep Purple ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Dynamic Island เป็นลูกเล่นใหม่เป็นรุ่นยอดนิยมสูงสุดและมีการจองเข้ามาสูงสุด ขณะที่ Apple ดันไทยเขยิบขึ้นเป็น Tier-1 ซึ่งจะทำให้คนไทยสามารถหาซื้อ iPhone14 พร้อมกับอีกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก พร้อมกับการเปิดตัว Apple Watch 8 และ AirPods Pro 2 ตามมา หนุนโค้งสุดท้ายของปีภาพรวมตลาดคึกคักกว่าครึ่งปีแรก

วันแรกของการขาย iPhone 14 ในวันนี้ (16 กันยายน ) คนไทยไม่ทำให้ผิดหวัง ยอดจองพุ่งกระฉูด โดยการวางจำหน่ายวันแรก iPhone 14 ProMax สี Deep Purple เป็นรุ่นยอดนิยมสูงสุดที่มีการจองเข้ามาสูงสุด ขณะที่ Apple ดันไทยเขยิบขึ้นเป็น Tier-1 พร้อมกับการเปิดตัว Apple Watch 8 และ AirPods Pro 2 ตามมา หนุนโค้งสุดท้ายของปีภาพรวมตลาดคึกคักกว่าครึ่งปีแรก โดยยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน

นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที, เครื่องใช้ไฟฟ้า และเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า “กระแสการตอบรับ iPhone14 ที่กำหนดวางจำหน่ายวันแรก 16 กันยายน 2565 ยังคงแรงทุบสถิติยอดจองสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับปีนี้ Apple ประกาศเปิดตัวเรือธงรุ่นล่าสุด และเขยิบประเทศไทยขึ้นเป็นประเทศ Tier-1 นับเป็นข่าวดีของสาวก iPhoneเมืองไทย ซึ่งจะทำให้คนไทยสามารถหาซื้อ iPhone14 พร้อมกับอีกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก สะท้อนยอดขายสินค้ากลุ่ม Apple ในประเทศไทยมีการเติบโต และมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น โดย COM7 ยิ้มรับอานิสงส์ในครั้งนี้เช่นกัน ในฐานะที่เราเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” นายสุระ กล่าว

สเปกของ iPhone14 เป็นอย่างไร

สำหรับไฮไลท์ iPhone14 ซีรีส์สมาร์ทโฟน มาพร้อมสีสันให้เลือก 10 สี คือ Purple, Blue, Midnight, Starlight, Red, Deep Purple, Space Black, Gold & Silver กับรุ่นท็อป 2 รุ่น คือ iPhone 14 Pro หน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 14 Pro Max หน้าจอ 6.7 นิ้ว ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Dynamic Island เป็นลูกเล่นใหม่เพื่อแสดงสถานะการใช้งานโหมดต่างๆ และครั้งแรกของฟีเจอร์ Emergency SOS โดยใช้ชิป A16 ชิปใหม่ล่าสุดที่ Apple ระบุว่า iPhone 14 Pro เป็นสมาร์ทโฟนเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมทั้งมีระบบกล้องและคุณสมบัติใหม่ที่เหนือขึ้นไปอีกขั้น นับเป็นโฉมใหม่ที่เปลี่ยนไปจาก iPhone13

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max กลายเป็น 2 รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไม่นับเทียบกับ iPhone 14 Plus ที่มีคิววางจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งทั้ง 4 รุ่นเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าพร้อมกันเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา

แม้ว่าแอปเปิล (Apple) จะไม่สามารถเปิดเผยยอดสั่งจองของ iPhone รุ่นใหม่ได้ แต่จากข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์พบว่า สินค้าล็อตแรกที่เข้ามาทำตลาดนั้นถูกสั่งจองหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดจอง ในขณะที่กำหนดส่งเครื่องทั้ง iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ลากยาวไปถึงช่วงกลางเดือนตุลาคมเรียบร้อย

แม้ว่าในภาพรวมของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะไม่ได้มีจุดที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในมุมของผู้ใช้งานทั่วไป แต่เมื่อดูรายละเอียดแบบเจาะลึกแล้ว จะเห็นได้ว่า iPhone 14 Pro นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับแอปเปิล ไม่แตกต่างจากตอนที่เปลี่ยนดีไซน์จาก iPhone 11 มาเป็นขอบเหลี่ยมใน iPhone 12 ก็ว่าได้

เริ่มกันตั้งแต่ภายในของ iPhone 14 Pro ที่รอบนี้ยังสามารถครองตำแหน่งสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในโลก ต่อเนื่องมาตั้งแต่ในปี 2019 ที่เปิดตัวชิปเซ็ต A13 Bionic มาจนถึงปัจจุบันที่เป็น A16 Bionic ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 4 นาโนเมตร ให้ทั้งประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในขณะเดียวกัน ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยแรงกว่าชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุดของคู่แข่งถึง 40% โดยใช้พลังงานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นรวมถึงการมาของ ‘หน้าจอติดตลอดเวลา’ (Always-on Display) ที่แอปเปิลทดลองใช้งานบน Apple Watch มาสักพักให้มาอยู่บน iPhone 14 Pro ทำให้สามารถดูข้อมูลรายละเอียดเบื้องต้นได้ โดยไม่ต้องคอยปลดล็อกหน้าจอ และไม่ส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ เพราะการเลือกใช้จอแสดงผลแบบใช้พลังงานต่ำ

ประกอบกับการที่มีพลังในการประมวลผลที่เพียงพอทำให้แอปเปิลสามารถทำงานร่วมกันระหว่างทีมออกแบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์จนเป็นที่มาของการพัฒนา Dynamic Island หรือเกาะมหัศจรรย์ที่ยืดหดได้ ที่เป็นการนำจุดด้อยของผลิตภัณฑ์อย่างรอยบากบนหน้าจอ iPhone มาเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ทดแทนเข้าไป

เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ ที่ตรึงผู้ชมได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นการนำเสนอ ‘Dynamic Island’ ที่แอปเปิล เปลี่ยนรอยบากบนหน้าจอซึ่งเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า เซ็นเซอร์สแกนใบหน้า ให้กลายเป็นพื้นที่ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในการแสดงผลได้ หลังจากที่พยายามลดขนาดให้เล็กลงนับจากเปิดตัวครั้งแรกใน iPhone X

เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้มาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีในหลายภาคส่วนด้วยกัน อย่างการลดขนาดของกล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล ให้มีขนาดเล็กลง พร้อมเซ็นเซอร์สแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ (FaceID) ในขนาดที่เหมาะสม รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า (Proximity Sensor) แบบฝังใต้หน้าจอแทน ทำให้ได้หน้าจอ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max แบบใหม่ออกมาแทนรอยบากแบบเดิม

โดยความสามารถของ Dynamic Island จะเป็นพื้นที่พิเศษที่สามารถหดเข้า และขยายออกตามเนื้อหาที่จะแสดงผล และเปิดให้ผู้ใช้งาน iPhone สามารถใช้งานบางแอปพลิเคชันพร้อมกันแบบมัลติทาสกิ้งได้ เสริมจากเรื่องของการแจ้งเตือนข้อมูล และกิจกรรมต่างๆ

เพื่อทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น แอปเปิลได้เริ่มนำ Dynamic Island มาใช้งานกับแอปพลิเคชันที่บันเดิล (Bundle) มากับ iOS 16 ที่เป็นพื้นฐานอย่างโทรศัพท์ FaceTime และ Music ที่สามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของ Dynamic Island ได้อย่างน่าสนใจ อย่างการเป็นหน้าต่างย่อเวลาโทรศัพท์ ที่แสดงระยะเวลาในการใช้สาย หรือแสดงผลว่าไมโครโฟนมีการจับคลื่นเสียงอยู่หรือไม่ จนถึงการควบคุมการเล่นเพลง หรือคอนเทนต์ความบันเทิงต่างๆ

สุดท้ายคือเรื่องของสี ที่มีการปรับโทนสีใหม่ตั้งแต่สีมิดไนท์ที่จะมีความดำมากขึ้น สีสตาร์ไลท์ที่ขาวขึ้น สีแดงที่สดขึ้น พร้อมกับสีใหม่อย่างม่วง และฟ้า ที่ออกแนวพาสเทล ซึ่งกลายเป็นโทนสีใหม่ทั้งหมด และเชื่อว่าในท้ายที่สุดทั้ง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus จะเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมในระยะยาวอย่างแน่นอน เนื่องจากด้วยประสิทธิภาพและระดับราคาของตัวเครื่องที่ไม่ได้สูงจนเกินไป ทำให้ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในรุ่นที่มีความจุ 128 GB และ 256 GB เพราะเมื่อผูกโปรโมชันกับโอเปอเรเตอร์ยังสามารถหาซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่า 30,000 บาทอยู่

จากคุณสมบัติเหล่านี้ บรรดาสาวกยอมควักกระเป๋าลงทุน อาจจะเห็นว่าคุ้มค่า แม้ในยามเศรษฐกิจฝืดเคืองก็ตาม

ทำให้บรรยากาศตั้งแต่วันแรกที่เปิดจอง และวันวางจำหน่ายเป็นไปอย่างคึกคัก โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเปิดจอง คือ iPhone 14 Pro Max สี Deep Purple

นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ Apple Watch Series 8 พร้อมกัน 3 รุ่น คือ Apple Watch Series 8 , Apple Watch SE และ Apple Watch Ultra เอาใจสายเฮลตี้ รวมถึง AirPods Pro 2 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเข้าสู่ยุคดิจิทัล คาดว่าจะวางจำหน่ายเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ดี ปีนี้ประเทศไทยได้สิทธิจำหน่าย iPhone เร็วกว่าครั้งก่อน โดยปีที่แล้วมีกำหนดวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ COM7 สามารถรับรู้รายได้จากสินค้ารุ่นเรือธงได้เร็วขึ้น สนับสนุนรายได้ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ซึ่งปกติเป็นช่วงพีคของปี

ในแง่ของช่องทางการจำหน่าย COM7 ถือเป็นผู้นำช่องทางค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าไอทีและสมาร์ทโฟนที่มีสาขาครอบคลุมที่สุดในประเทศ โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีสาขาภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัทรวมทั้งหมด 1,090 สาขา แบ่งเป็น BaNANA จำนวน 418 สาขา, แฟรนไชส์ จำนวน 133 สาขา, True Shop by Com7 จำนวน 126 สาขา, Studio7 จำนวน 117 สาขา, KingKong Phone จำนวน 76 สาขา, BKK จำนวน 32 สาขา, iCare 30 สาขา และอื่นๆ จำนวน 158 สาขา ซึ่งเป็นร้านที่จำหน่ายสินค้ากลุ่ม Apple และ iPhone ผ่านร้านค้ากว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ

นอกจากนี้ COM7 บุกการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น รับภาพรวมครึ่งปีแรกยอดขายออนไลน์เติบโตขี้นกว่า 65% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมุ่งเน้นช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านออนไลน์ โดยพัฒนาแพลตฟอร์ม โดยมีการเปิดตัวเว็ปไซต์ Studio7 Thailand อย่างเป็นทางการ รวมทั้ง มีการเปิดตัว BaNANA Application เพื่อความสะดวกของลูกค้าในการซื้อสินค้าผ่านมือถือ และบริการการรับสินค้าทั้งที่หน้าร้าน หรือจัดส่งถึงบ้านตามความต้องการของลูกค้า อีกทั้งบริการหลังการขายไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าที่หน้าร้านหรือช่องทางออนไลน์

COM7 ยังมีการเปิดตัวบริการใหม่ภายใต้ร้าน iCare ศูนย์บริการซ่อมผลิตภัณฑ์ Apple อย่างเป็นทางการ ด้วยบริการ iCare Delivery Service คือ รับ ส่ง ซ่อมสินค้าถึงบ้านโดยติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นเบอร์ 1 ของผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Apple พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

Comments

Post Comments