10 อันดับ หูฟัง in ear ยี่ห้อไหนดี แห่งปี 2021- เบสหนัก ราคาถูก | TOP10
ทุกวันนี้หูฟังถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ดูวิดีโอ เล่นเกม คุยโทรศัพท์ส่วนตัวหรือคุยธุระเรื่องงาน คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ทุกที่ ทั้งในบ้านและที่สาธารณะ เมื่อมีหูฟังที่ดีเป็นตัวช่วยในการสื่อสารหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้สะดวกไม่มีติดขัด และไลฟ์สไตล์ปัจจุบันนี้มักจะควบคู่ไปกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น
หูฟังไร้สาย หรือ หูฟังบลูทูธ จึงตอบโจทย์มาก ๆ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น เคลื่อนไหวสะดวก ไม่มีสายระโยงระยางกวนใจอีกต่อไป พกพาง่าย ขนาดเล็ก ทันสมัย ไม่ว่าใช้ฟังเพลง หูฟังสำหรับเล่นเกมส์ ดูหนัง หรือคุยโทรศัพท์ ก็สะดวก เป็นที่นิยมมากในหมู่คนรักการออกกำลังกาย เพราะสะดวกอย่างมาก ไม่ว่าจะวิ่ง คาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง จะไม่มีสายมากวนใจ หูฟังที่มีสาย แถมมากับมือถือ อาจทำให้ไม่สะดวก ถ้าได้ลองเปลี่ยนมาใช้แบบไร้สาย แล้วจะลืมแบบมีสายไปเลย และหากคุณกำลังมองหา หูฟังไร้สาย อินเอียร์ อยู่ล่ะก็ หูฟัง ในท้องตลาดมีราคาที่แตกต่างกันหลายระดับจากผู้ผลิตมากมาย ใครที่สงสัยว่าควรซื้อ หูฟัง ยี่ห้อไหนดี ลองอ่าน 10 อันดับ หูฟัง in ear ที่เราอยากแนะนำให้คุณ ได้เลือกใช้กัน
หูฟัง True Wireless เป็นหูฟัง ที่ทำขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความง่ายในการใช้ชีวิต เนื่องจากการไร้สายของหูฟัง ทำให้เวลาเดิน วิ่ง ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่มีสายมาให้เกะกะให้รำคาญใจ พกพาง่ายสะดวกเพียงแค่เก็บตัวหูฟังในกล่องหูฟังแล้วพกไปทั้งกล่อง ส่วนตัวหูฟังแบบมีสายเสียบที่มือถือ อาจเกิดเหตุการณ์สายหูฟังโดนเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นมือ กระเป๋า หรือสิ่งอื่น ๆ ภายนอกมาเกี่ยวพันกับสายหูฟัง ทำให้หูฟังหลุด หรือมีโอกาสทำให้มือถือตก เกิดความเสียหายได้
การใส่ หูฟังไร้สาย ทำให้สามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้อย่างสะดวกไปพร้อมกันกับการฟังเพลงไปด้วยได้ เช่น การทำความสะอาดบ้าน ออกกำลังกาย จอกกิ้ง เดินเล่นกับสัตว์เลี้ยง ทำอาหาร เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องพกมือถือติดตามตัว และไม่ต้องกังวลว่าจะรบกวนคนอื่น เหมือนการเปิดลำโพง ส่วนเรื่องคุณภาพของเสียง โดยทางทฤษฎีหูฟังแบบมีสายเสียบกับมือถือ จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าแบบไร้สาย แต่ปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า หูฟัง Wireless ได้พัฒนาไปมาก คุณภาพของเสียงไม่แพ้แบบมีสายแน่นอน
หูฟังแบบไร้สาย จะมีเคสสำหรับเก็บหูฟังที่สามารถชาร์จพลังงานได้ด้วย เป็นเหมือน Power Bank ของตัวหูฟังนั้นเอง เพียงแค่ใส่หูฟังลงไปในเคส เท่านี้ก็ถือว่าได้ชาร์จไฟให้กับตัวหูฟังแล้ว โดยที่เคสส่วนใหญ่จะสามารถชาร์จไฟได้นาน 10-20 ชั่วโมง แล้วแต่แบรนด์
ดังนั้น ถ้าพกหูฟังและเคสไปพร้อมกัน จะสามารถฟังเพลงได้นานถึงเกือบ ๆ วันหรือมากกว่า 1 วัน โดยทั่วไปแล้วปริมาณแบตเตอรี่ของหูฟังแบบไร้สายของทุกแบรนด์นั้นก็ให้มาเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้งานหูฟังแบบหนักหน่วง ให้เลือกหูฟังของแบรนด์ที่มีค่าปริมาณแบตเตอรี่ที่มากแล้วสามารถทำงานได้หลายชั่วโมง แน่นอนว่า หากตัดสินใจซื้อหูฟังมาก็ย่อมต้องการคุณภาพเสียงที่ดี คุณภาพเสียงของหูฟังจะขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
• การเชื่อมต่อ Bluetooth
Bluetooth เวอร์ชันสูง ๆ จะทำการเชื่อมสัญญาณได้ดีกว่าเวอร์ชันต่ำ ๆ ถ้าเคยฟังเพลงแล้วเสียงขาดหาย อาจเป็นเพราะการเชื่อมต่อไม่ดี แต่ในปัจจุบันทางผู้ผลิตส่วนใหญ่จะใช้ Bluetooth เวอร์ชัน 5.0 กันแล้ว โอกาสเสียงเพลงติด ๆ ดับ ๆ ก็มีโอกาสเกิดได้น้อยลง
• ค่าโอนถ่ายปริมาณข้อมูลเสียงไปมาระหว่างกันต่อวินาที หรือที่เรียกกันว่า Bit-rate มีหน่วยวัดเป็น kbps หรือ mbps
การที่ Bit-rate มากย่อมแสดงว่าสามารถโอนถ่ายข้อมูลปริมาณเสียงได้มาก ทำให้ส่งถ่ายข้อมูลเสียงได้ครบระหว่างหูฟังและมือถือ ถ้าเสียงมาไม่ครบจะเกิดอาการที่เขาชอบเรียกกันว่า เพลงติด ๆ ดับ ๆ ครับ โดยที่การเชื่อมต่อสัญญาณนี้ จะเรียกกันว่า Bluetooth Codec ซึ่งจะมี 5 แบบด้วยกัน นั้นก็คือ SBC, AAC, aptX, aptX HD และ LDAC หูฟังและมือถือของแต่ละแบรนด์ก็จะสนับสนุนตัว Bluetooth Codec แตกต่างกันไป เช่น หูฟัง Sony WF-1000XM3 จะสนับสนุนเสียงแบบ SBC และ AAC เป็นต้น
สำหรับแบบ SBC เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ที่ไม่ต้องการความพิเศษอะไรมาก คุณภาพเสียงตามมาตรฐาน
ส่วนแบบ AAC การเชื่อมต่อแบบนี้มี Bit-rate ที่ 250 kbps คุณภาพเสียงคล้าย ๆ กับระบบ MP3
aptX และ aptX HD สองตัวนี้จะคล้ายกัน แต่ aptX HD จะเป็นตัวที่พัฒนามาจาก aptX ให้ค่า Bit-rate ที่ดีกว่า ทำให้คุณภาพเสียงและการเชื่อมต่อที่ดีกว่า และตัว aptX HD นี่เอง เป็นแบบที่ทางทีมงานแนะนำให้ทุกคนเลือกซื้อมากที่สุด เพื่อการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพเสียงที่ดี
สุดท้ายแบบ LDAC ตัวนี้ คุณภาพเสียงดีกว่าสี่แบบแรก และถึงหาได้ ราคาของหูฟังก็จะแพงมาก อาจไม่เหมาะกับการใช้ทั่วไป เหมาะกับมืออาชีพมากกว่าเนื่องด้วยระบบเสียงและราคาที่ค่อนข้างสูง
• มีระบบป้องกันการสั่นสะเทือน ยิ่งมือใหม่ด้วยแล้วโหมดนี้มีความสำคัญอย่างมาก ระบบสั่นที่แนะนำคือระบบสั่นแบบ 5 แกน (5-Axis)ภาพที่ได้จะคมชัดเหมือนจริง ไม่สั่น ไม่เบลอ คมชัด
• เลือกกล้องที่โหมดภาพอัตโนมัติที่สามารถทำงานได้ดีเหมือนช่างภาพมืออาชีพถ่าย โหมดนี้มีความสำคัญเช่นกันโดยเฉพาะมือใหม่หัดถ่าย คุณจะไม่ต้องเสียเวลาเพียงแค่กดชัตเตอร์ก็ได้ภาพถ่ายที่สวยงาม สะดวก รวดเร็ว โหมด Portrait สำหรับถ่ายคน Scenery สำหรับถ่ายวิว โหมดหน้าเนียนที่ขาดไม่ได้สำหรับสายเซลฟี่ และโหมดต่างๆอีกมากมายก็เลือกแบบที่ชอบได้เลยคะ โดยส่วนใหญ่ Wireless แบบไร้สายจะระบุไว้เลยว่า สามารถปล่อยความถี่ได้ที่ 20-20,000 Hz ซึ่งถือว่าครบถ้วนแล้ว แต่ก็จะมีหูฟังบางรุ่น อาจจะระบุว่า สามารถทำความถี่ได้มากกว่าช่วงนี้ เช่น 20-40,000 Hz อาจจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเกินไป ถือว่าไม่จำเป็นเลย และถ้าอยากได้เสียงเบสที่ลงลึก ให้เลือกหูฟังที่ตัวเลขทางซ้ายมือน้อย ๆ เลือกที่ค่าเริ่มต้นประมาณ 60-150 Hz จะดีที่สุด Driver คือ ชิ้นส่วนที่สำคัญมากที่สุดในหูฟัง ทำหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าให้กลายเป็นเสียงที่พวกเราได้ยิน ได้ฟังกัน มีส่วนประกอบหลักคือ แม่เหล็ก, คอยน์เสียง, และไดอะแฟรม และส่วนประกอบอื่น ๆ
• ขนาดของ Driver
ขนาดของ Driver จะส่งผลต่อความดังของเสียง โดยที่ขนาดยิ่งใหญ่ ก็ให้เสียงดังได้มาก และเนื่องจากขนาดใหญ่นี่เอง ตัวไดอะแฟรมก็จะมีขนาดใหญ่ด้วย ส่งผลให้เสียงเบสมีความคมชัดมากกว่าขนาดเล็ก แต่ในด้านเสียงสูงกลับให้เสียงได้ไม่ดีเท่าไรนัก
• จำนวนของ Driver
โดยทั่วไปหูฟังที่มีขนาดใหญ่ เช่น Headphone จะมีจำนวน Driver ที่ 4 หน่วย ในขณะที่หูฟังขนาดเล็กอาจจะมีแค่ 1-2 หน่วยเท่านั้น โดยที่หูฟังที่มี Driver จำนวนแค่ 1 หน่วย จะมีข้อจำกัดในการขับเสียงออกมา เสียงอาจจะคุณภาพไม่ดีพอ หรือไม่มีมิติมากพอ
• ประเภทของ Driver
Driver มีหลายแบบ และส่วนใหญ่หูฟังไร้สาย จะมี Driver แบบ Dynamic เท่านั้น ซึ่งเป็นประเภทแบบพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไปในอุปกรณ์การกำเนิดเสียง ให้เสียงได้ในระดับมาตรฐาน หูฟัง Wireless แบบไร้สายนั้น หลัก ๆ จะมีหูแค่สองประเภทเท่านั้น คือ แบบ In-ear และ แบบ Classic โดยที่แบบ In-ear จะเป็นหูฟังที่ยัดลงเข้าไปในรูหู จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า กันเสียงรบกวนภายนอกได้มากกว่า มีสมาธิมากกว่าเวลาฟังเพลงหรือออกกำลังกาย
แต่ หูแบบ In-ear อาจจะทำให้เจ็บที่รูหูเวลายัดใส่เข้ารูหู และเวลาใส่ไปนาน ๆ อาจมีอาการปวดเกิดขึ้นได้เช่นกัน อีกแบบคือแบบ Classic จะเป็นแบบห้อยวางไว้ตรงหูพอดี ไม่ได้ใส่เข้าไปในรูหูเหมือนแบบ in-ear ข้อดีคือ ไม่เจ็บหู ใส่ไปนาน ๆ แล้วสบายหูกว่า แต่อาจจะได้ยินเสียงรบกวนภายนอกมากกว่า และคุณภาพเสียงไม่เท่าอินเอียร์ คุณสมบัติของตัวหูฟังเองก็เป็นอีกส่วนที่ควรดูก่อนทำการซื้อ โดยดูที่ว่าตัวหูฟังมีคุณสมบัติและทำอะไรได้บ้าง เช่น การกันน้ำ โดยที่การกันน้ำของหูฟัง จะระบุเป็นค่า IPX โดยเริ่มตั้งแต่ค่า 0 ไปจนถึง 8 โดยที่ค่ายิ่งมากยิ่งสามารถกันน้ำได้ดี
ถ้าคุณเป็นคนชอบออกกำลังกายและชอบฟังเพลงไปด้วย ควรเลือกหูฟังที่มีค่า IPX ที่ 4 หรือ 5 ขึ้นไป เพราะแค่ระดับนี้ก็สามารถกันเหงื่อและกันละอองฝนได้ดีมากแล้ว หูฟังบ้างแบรนด์สามารถกดรับสาย โทรออก ปรับลดเพิ่มเสียง เล่นเพลงเลื่อนไปข้างหน้าหรือย้อนหลัง ได้เลยโดยตรงที่หูฟัง ซึ่งช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้น สิ่งของถูกออกแบบเพื่อความสวยงามและน่ามองแล้ว ยังสามารถสร้างเอกลักษณ์ตัวตนของผู้ใช้ได้ด้วย ขึ้นกับ
รสนิยมของแต่ละคนเช่นกัน ดังนั้น นอกจากเลือกซื้อเพื่อมีระบบฟังก์ชั่นที่สะดวกแล้ว อย่าลืม เลือกซื้อหูฟังที่ดีไซน์เก๋ ไม่ซ้ำใคร หรือตามสไตล์ที่เราชอบด้วย หูฟังสายมีมาตรฐานการออกแบบเหมือนกันทั้งสิ้น แต่เราไม่ได้ถูกออกแบบมาเหมือนกัน ทั้งใบหน้า
ผู้ผลิตต่างพยายามสร้างสินค้าให้ตรงกับโครงหน้ามนุษย์มากขึ้น และคงไม่มีใครชอบที่จะสวมใส่สินค้าที่ไม่เหมาะกับใบหน้า และอาจทำให้ระคายเคือง ราต้องการความสบาย ดังนั้น ทดลองสวมใส่หูฟังก่อน ไม่ควรเลือกซื้อกรณีสวมใส่รู้สึกเจ็บและอึดอัด สินค้าไอที ต้องมีประกันที่ สามารถส่งช่อมได้ หูฟังบลูทูธเป็นสินค้าถ้าเกิดชํารุดเราควรส่งของช่อมบํารุง บางครั้งอาจมีค่าบริการที่แพงแทบหูฉีก บางยี่ห้อไม่สามารถซ่อมได้ นั้นแหละแหตุผลการมีประกันจึงสําคัญอย่างมาก สินค้าพวกนี้ต้องมีประกัน 6 เดือน – 2 ปี เลยทีเดียว ทำให้ไม่เสียเงินเกินจำเป็น
สำหรับ หูฟัง in ear และ หูฟังบลูทูธ ที่เรานำมาเสนอวันนี้มีหลากหลายสเปคและราคาให้ได้เลือกใช้ อย่าลืมว่าการเลือกซื้อหูฟังสักอันต้องคำนึงถึงการใช้งานและประกัน นอกจากนี้งบประมาณในกระเป๋าก็สำคัญเอามาก ๆ จากรีวิวที่เรานำมาเพื่อนอาจได้สินค้าในใจกันแล้ว ไม่ว่าจะส่ดูหนัง ฟังเพลงตอนออกกำลังกาย หูฟังไวเลสนี่ตอบโจทย์มากๆเลยทีเดียว
Comments
Post Comments